1.1 เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการในการตรวจสอบกำกับดูแล โดยการพัฒนาระบบการตรวจสอบกำกับดูแล เพิ่มจุดตรวจสอบอาหารและสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารที่ผลิตและนำเข้า และเพิ่มความถี่และความครอบคลุมใน การตรวจสอบให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงตลอดห่วงโซ่อาหารในสินค้านั้น
1.2 เพิ่มการลงทุนและสนับสนุนขีดความสามารถของบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญร่วมถึงการพัฒนาทักษะทางภาษา เพิ่มสมรรถนะห้องปฏิบัติการ ตลอดจนการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัยอย่างเพียงพอและกระจายทั่วถึง
1.3 ในการตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานต่าง ๆ ทุกระดับที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยอาหาร ให้คำนึงถึงการจัดให้มีผู้แทนภาคประชาสังคมที่เป็นองค์กรผู้บริโภค ผู้แทนชุมชน นักวิชาการ และ ผู้แทนจากภาคเอกชน ร่วมเป็นองค์ประกอบในสัดส่วนที่เท่ากัน ทั้งนี้การคัดเลือกทุกภาคส่วน ต้องเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม
1.4 พัฒนาระบบการวิเคราะห์ความเสี่ยง ด้านความปลอดภัยอาหาร คุณภาพและมาตรฐานของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับสากล
- จากมติที่ประชุมให้มีการจัดตั้งกลไกคณะทำงานในการจัดทำข้อเสนอแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานดังกล่าว จึงได้มีการจัดประชุมปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจัดทำข้อเสนอแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 โดยมี รศ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ เป็นประธาน ซึ่งได้จัดการประชุมไปแล้ว จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2557 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากศูนย์พัฒนานโยบายแห่งชาติด้านสารเคมี (IPCS) สำนักควบคุมวัตถุอันตราย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) สำนักกฎหมาย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) กลุ่มควบคุมวัตถุอันตราย (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กรมควบคุมมลพิษ กรมวิชาการเกษตร เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) บริษัทบีเอเอสเอฟ (ไทย) จำกัด เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อปรึกษาหารือกับภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ในการหาแนวทางปรับปรุงกฎหมายต่อไป มติที่ประชุม เห็นชอบ หลักการ คือ ประเด็นห่วงใยไม่ได้หมายถึงเฉพาะการแก้ไขพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย แต่รวมถึงเช่น เรื่องกฎกระทรวง ฯลฯ และ เห็นชอบ ประเด็นการขับเคลื่อนปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 จำนวน 7 ประเด็น ดังนี้
1) ให้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ครอบคลุมสารเคมีทั้งหมดในประเทศ
2) คณะกรรมการวัตถุอันตราย
2.1) องค์ประกอบ
- ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ด้าน คือ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค การคุ้มครองสุขภาพ อนามัย การเกษตร ยั่งยืน การจัดการปัญหา วัตถุอันตราย และการจัดการด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่างน้อยด้านละ 1 คน รวม 5 คน
2.2) นิยามขององค์กรสาธารณประโยชน์
- ระบุให้ชัดเจนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับในเรื่องของธุรกิจสารเคมี
3) ระบบการขึ้นทะเบียน/การเพิกถอนทะเบียน ให้เป็นระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนครอบคลุม ครบถ้วน
4) การโฆษณา และส่งเสริมการขาย
- การโฆษณา โดยควบคุมการโฆษณาในทุกสื่อ และเป็นระดับที่มีประสิทธิภาพที่จะควบคุมการโฆษณาหรือมีกลไกการปรับใช้กติกาสากลของ FAO Code of conduct
- ส่งเสริมการขาย ห้ามมิให้มีการส่งเสริมการขายสารเคมีเกษตรหรือมีกลไกการปรับใช้กติกาสากลของ FAO Code of conduct
5) การควบคุมการจำหน่าย (รวมถึงการขายตรง เช่น รถเร่ขายเคลื่อนที่ และการขายทั้งมีและไม่มีใบอนุญาต) ควรมีมาตรการที่เข้มงวด ในขณะเดียวกันควรส่งเสริมกระบวนการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรรู้เท่าทันและมีระบบเฝ้าระวัง
6) บทลงโทษตามข้อ 4 , 5 ต้องรุนแรงพอที่จะปรามการกระทำได้
7) การนำผ่านสารเคมี
- ทำคำนิยามให้ชัดเจน
- ต้องมีการแจ้งและในการนำผ่านต้องขนส่งทั้งจำนวน
- ควรมีระยะเวลากำหนดที่ไม่ยาว เช่น ไม่เกิน ๗ วัน หรือเท่าที่จำเป็น
จังหวะก้าวในการดำเนินการต่อไป เพื่อให้การขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ.2555 มติ 5 ความปลอดภัยทางอาหาร: การแก้ไขปัญหาจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และ มติ 5.8 การพัฒนากลไกและกระบวนการที่สามารถรับมือผลกระทบด้านสุขภาพจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนโดยเฉพาะอาหารและสินค้าเกษตรที่เป็นอาหาร ในการแก้ไขปรับปรุง พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเสนอขั้นตอนการดำเนินการต่อไปดังนี้
1) การหาเจ้าภาพหลักในการดำเนินการแก้ไข กฎกระทรวง ประกาศ รวมถึงการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติ
2) การจัดเวทีวิชาการรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ หน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดกรอบแนวทางในการร่างกฎหมาย
3) การยกร่าง และปรับปรุง กฎหมาย
4) การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น
5) การเสนอร่าง พ.ร.บ.เข้าไปยัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจาก ศูนย์พัฒนานโยบายแห่งชาติด้านสารเคมี (IPCS) สำนักควบคุมวัตถุอันตราย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) สำนักกฎหมาย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) กลุ่มควบคุมวัตถุอันตราย (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร (กรมวิชาการเกษตร) สถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน สมาคมอารักขาพืชไทย เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพิจารณาประเด็นและกลไกการขับเคลื่อนปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 จำนวน 7 ประเด็น โดย มติที่ประชุม เห็นชอบ
1) สรุปข้อเสนอแนะจากที่ประชุมในการพิจารณาประเด็นและกลไกการขับเคลื่อนปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยได้พิจารณาแล้ว จำนวน 3 ประเด็นดังนี้
1.1) ให้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ครอบคลุมสารเคมีทั้งหมดในประเทศ
สรุปข้อเสนอแนะจากที่ประชุม
- ให้ครอบคลุมสารเคมีทั้งหมดที่นำเข้ามา และผลิตในประเทศไ
1.2) คณะกรรมการวัตถุอันตราย
(1)องค์ประกอบ
- ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ด้าน คือ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค คุ้มครองสุขภาพอนามัย เกษตรยั่งยืนการจัดการปัญหาวัตถุอันตรายและการจัดการด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่างน้อยด้านละ 1 คน รวม 5 คน
(2) นิยามขององค์กรสาธารณประโยชน์
- ระบุให้ชัดเจนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับในเรื่องของธุรกิจสารเคมี
สรุปข้อเสนอแนะจากที่ประชุม
- เสนอให้มีการตัดผู้แทนสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติออกไม่ให้เป็นผู้ช่วยเลขาฯ แต่เป็นคณะกรรมการได้ เนื่องจากผู้แทนดังกล่าวไม่ได้ใช้กฎหมายนี้โดยตรง
- เสนอนิยามองค์กรสาธารณประโยชน์ เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเป็นสมาคมหรือมูลนิธิ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินงานด้านสาธารณประโยชน์โดยไม่แสวงหากำไร
- นิยามองค์กรสาธารณประโยชน์ในประกาศของกระทรวงการคลังและจำกัดเฉพาะสมาคมและมูลนิธิ โดยสามารถนำมาอ้างอิง
(3) ระบบการขึ้นทะเบียน/การเพิกถอนทะเบียน ให้เป็นระบบที่โปร่งใสตรวจสอบได้ โดยการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนครอบคลุมครบถ้วน
สรุปข้อเสนอแนะจากที่ประชุม
- เสนอให้ปรับประเด็นหัวข้อ (3) ได้แก่ ระบบการขึ้นทะเบียน/การเพิกถอนทะเบียนสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรให้มีส่วนร่วมจากภาคประชาชนครอบคลุม ครบถ้วน
- ในขั้นตอนการออกกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนั้นๆ ควรพิจารณาการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการให้ข้อเสนอแนะ โดยจัดให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการกำหนดขั้นตอนและวิธีการว่าด้วยการนั้น ในขณะเดียวกันให้ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในการนำเสนอทบทวนบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย
เหลืออีก 4 ประเด็นจะนำมาพิจารณาอีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไป ได้แก่ 1) การโฆษณาและส่งเสริมการขาย 2) การควบคุมการจำหน่าย 3) บทลงโทษตามข้อ 4 , 5 ต้องรุนแรงพอที่จะปรามการกระทำได้ 4) การนำผ่านสารเคมี
2) มอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ นำหนังสือขอความอนุเคราะห์ ร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 (ฉบับแก้ไข) ไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในการประชุมครั้งถัดไป เพื่อนำมาพิจารณาในกรอบการดำเนินงานของกฎหมายให้สอดคล้องกับการทำงานของคณะทำงานที่กำลังดำเนินการอยู่
3) เจ้าภาพหลักในการดำเนินการจัดทำร่างกฎหมาย โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม และหลังจากที่ได้ข้อเสนอจากการพิจารณาประชุมติดตามความก้าวหน้าการปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ของภาคีเครือข่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ทางสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจะเสนอเข้าคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเสนอต่อไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาการยกร่าง และปรับปรุง กฎหมาย และการเสนอร่าง พ.ร.บ.เข้าไปยัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อไป
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2557 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากศูนย์พัฒนานโยบายแห่งชาติด้านสารเคมี (IPCS) สำนักควบคุมวัตถุอันตราย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) กลุ่มควบคุมวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมควบคุมมลพิษ สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมวิชาการเกษตร คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มีวัตถุประสงค์ เพื่อพิจารณาประเด็นปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 (ต่อเนื่อง) และข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตัวอย่างการดำเนินการของประเทศมาเลเซียที่มีกฎหมายที่ชื่อว่า The Pesticide Act 1974 วิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย รวมถึงแนวทางการให้มีพระราชบัญญัติสารเคมีการเกษตร โดยมติที่ประชุม เห็นชอบการปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.๒๕๓๕ ดังนี้
1) มาตรา 4 ให้เพิ่มคำนิยาม ดังนี้ การโฆษณา การส่งเสริมการขาย นำผ่าน องค์การสาธารณประโยชน์ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ ไปศึกษาข้อมูลของ พระราชบัญญัติอื่นๆ เปรียบเทียบว่าแต่ละกฎหมายเขียนอย่างไร
2) หมวด 1 คณะกรรมการวัตถุอันตราย มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการวัตถุอันตราย “อย่างน้อยห้าคน ให้แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นตัวแทนขององค์การสาธารณประโยชน์” ให้แต่ละหน่วยงานกลับไปหาข้อมูลมาสนับสนุนว่าจะส่วนประกอบของตัวแทนจะเป็นอย่างไร
3) หมวด 2 การควบคุมวัตถุอันตราย มาตรา 20 ให้รัฐมนตรีรับผิดชอบโดยความเห็นของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยใน วงเล็บข้อ 4 กำหนดขั้นตอนการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย ให้เพิ่มเนื้อหาดังนี้ และการประเมินความเป็นอันตราย จึงสรุปว่าข้อความวงเล็บข้อ 4 กำหนดขั้นตอนการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายและการประเมินความเป็นอันตราย
4) ให้มีการพิจารณาข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (ตัวอย่างการ ดำเนินการ ของประเทศมาเลเซียที่มีกฎหมายที่ชื่อว่า The Pesticide Act 1974
5) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปพิจารณาสิ่งที่ต้องการแก้ไขในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และนำกลับมาพิจารณาต่ออีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไป วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ.2558
ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.258 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากศูนย์พัฒนานโยบายแห่งชาติด้านสารเคมี (IPCS) สำนักควบคุมวัตถุอันตราย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) กลุ่มควบคุมวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมควบคุมมลพิษ สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมวิชาการเกษตร คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มีวัตถุประสงค์ เพื่อพิจารณาประเด็นปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 (ต่อเนื่อง) และข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตัวอย่างการดำเนินการของประเทศมาเลเซียที่มีกฎหมายที่ชื่อว่า The Pesticide Act 1974 วิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย รวมถึงแนวทางการให้มีพระราชบัญญัติสารเคมีการเกษตร ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.๒๕๓๕ ดังนี้
1) ให้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.๒๕๓๕ ตามมติที่ประชุมที่ได้มีการแก้ไข ดังนี้
1.1 มาตรา 4 ให้เพิ่มคำนิยาม ดังนี้ การโฆษณา การส่งเสริมการขาย นำผ่าน องค์การสาธารณประโยชน์
“โฆษณา” หมายความว่า การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใดๆให้ประชาชนเห็น ได้ยินหรือทราบข้อความเพื่อประโยชน์ในทางการค้า และให้หมายความรวมถึงการสื่อสารการตลาด
“ขาย” หมายความว่า จำหน่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ เพื่อประโยชน์ในทางการค้า
“การสื่อสารการตลาด” หมายความว่า การกระทำกิจกรรมในรูปแบบต่างๆโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขายสินค้า บริการหรือภาพลักษณ์ การประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่ข่าวสาร การส่งเสริมการขาย การแสดงสินค้า การจัดหรือสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ และการตลาดแบบตรง
หมายเหตุ : มีข้อสังเกต ในเรื่องการส่งเสริมการขาย ให้หมายรวมถึงการลด แลก แจก แถม
“นำผ่าน” หมายความว่า นำหรือส่งวัตถุอันตรายผ่านราชอาณาจักรไม่ว่าจะมีการขนถ่ายหรือเปลี่ยนยานพาหนะหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีการใช้ประโยชน์ภายในราชอาณาจักร
หมายเหตุ : ให้รวมถึงการขนส่งในทุกช่องทาง ไม่ว่า ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ
“องค์การสาธารณประโยชน์” หมายความว่า เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่มุ่งแสวงหากำไรและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจวัตถุอันตรายโดยตรง
1.2 มาตรา 51 การควบคุมการโฆษณาวัตถุอันตรายให้รัฐมนตรีกระทรวงที่รับผิดชอบออกประกาศเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมและแจ้งให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายทราบ โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขาฯ ยกร่างบทลงโทษมาพิจารณาในการประชุมครั้งถัดไป 2) ให้ดำเนินการหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาในเรื่อง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิองค์การสาธารณประโยชน์ มาจากกระบวนการด้วยกัน 3 วิธี คือ 1) วิธีการแต่งตั้งกรรมการ 2) วิธีการสรรหากรรมการขึ้นมา 3) วิธีการคัดเลือกกันเอง 3) ให้ดำเนินการยกร่างกำหนดบทลงโทษให้สอดคล้องกับการแก้ไขมาตรา 51 และนำกลับมาพิจารณาต่ออีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไป วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558
ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากศูนย์พัฒนานโยบายแห่งชาติด้านสารเคมี (IPCS) สำนักควบคุมวัตถุอันตราย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) กลุ่มควบคุมวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมควบคุมมลพิษ สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมวิชาการเกษตร สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มีวัตถุประสงค์ เพื่อพิจารณาประเด็น ปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตัวอย่างการดำเนินการของประเทศมาเลเซียที่มีกฎหมายที่ชื่อว่า The Pesticide Act 1974 วิเคราะห์ข้อดีและข้อเสีย รวมถึงแนวทางการให้มีพระราชบัญญัติสารเคมีการเกษตร โดยมติที่ประชุม เห็นชอบการปรับปรุงพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ดังนี้
1) ให้ดำเนินการสรุปข้อเสนอจากการพิจารณาการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ตามมติที่ประชุมที่ได้มีการแก้ไข (เอกสารแนบ 1) แล้วดำเนินการเสนอ คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) เสนอเข้าคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเสนอต่อไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในการพิจารณายกร่างและปรับปรุงกฎหมาย และการเสนอร่าง พ.ร.บ.เข้าไปยัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อไป
2) ในการดำเนินงานระยะต่อไปจัดทำข้อเสนอแนวทางการมีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งนำมาพิจารณาในการประชุมครั้งถัดไป วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2558
- จากการดำเนินการจัดทำข้อเสนอการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 แล้วเสร็จซึ่งเป็นแผนการดำเนินงานระยะสั้นในการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ โดยแผนระยะยาว ให้ดำเนินการจัดทำข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งได้มีการจัดประชุมปรึกษาหารือการจัดทำข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ไปแล้ว เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากศูนย์พัฒนานโยบายแห่งชาติด้านสารเคมี (IPCS) สำนักควบคุมวัตถุอันตราย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) กลุ่มควบคุมวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมควบคุมมลพิษ สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมวิชาการเกษตร สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มีวัตถุประสงค์ เพื่อการจัดทำข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืชซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ให้มีการพิจารณาข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืชครั้งถัดไป และมอบฝ่ายเลขาฯดำเนินการ ดังนี้
1) จัดทำการเปรียบเทียบมาตรการควบคุมสารเคมีทางการเกษตรของประเทศไทยกับต่างประเทศ
2) ยกร่างกรอบประเด็นในการพิจารณายกร่างกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
3) ให้ดำเนินการเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องเพื่อมาร่วมพิจารณากรอบประเด็น ได้แก่ รศ.ดร.ปาริชาติ วิสุทธิสมาจาร ดร.รุ่งนภา ก่อประดิษฐ์สกุล และ ดร.ศราภา ศมทรินทร์
4) นัดหมายประชุมครั้งต่อไปประชุมปรึกษาหารือเรื่อง การจัดทำข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ครั้งที่ 2 ในวันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558
- ประชุมปรึกษาหารือเรื่อง การจัดทำข้อเสนอต่อการให้มีกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ครั้งที่ 2 ในวันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจากศูนย์พัฒนานโยบายแห่งชาติด้านสารเคมี (IPCS) สำนักควบคุมวัตถุอันตราย (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) กลุ่มควบคุมวัตถุอันตราย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมควบคุมมลพิษ สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมวิชาการเกษตร สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ ให้ดำเนินการตามแผนการดำเนินงานจัดทำร่างพระราชบัญญัติควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ดังนี้
1) การหาเจ้าภาพหลักในการดำเนินการจัดทำร่างกฎหมาย หลังจากได้ร่างกฎหมายแล้วเตรียมการเข้าพบปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อหารือแนวทางการจัดทำกฎหมายควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืช
2) การจัดเวทีวิชาการรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ หน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดกรอบแนวทางในการร่างกฎหมาย
3) การจัดเวทีรับฟัง 4 ภาค
4) การยกร่างและปรับปรุงกฎหมาย
5) การเสนอร่าง พ.ร.บ.เข้าไปยัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
- จากมติที่ประชุมให้มีการจัดตั้งกลไกคณะทำงานคณะทำงานอาหารปลอดภัย เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานดังกล่าว จึงได้มีการจัดประชุมปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อน มาตรฐาน แนวทางและการดำเนินการเพื่อให้เกิดการผลิตอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยมีคุณทิพย์รัตน์ นพลดารมย์ เป็นประธาน ซึ่งได้จัดการประชุมไปแล้ว จำนวน 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2557 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจาก สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สมาคมตลาดสดไทย มูลนิธิชีววิถี เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง(ประเทศไทย)จำกัด มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การขับเคลื่อน มาตรฐาน แนวทางและการดำเนินการเพื่อให้เกิดการผลิตอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีกำจัด ตลอดกระบวนการทั้งห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
มติที่ประชุม เห็นชอบ ให้มีการพิจารณาประเด็นทิศทางการทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาคีเครือข่าย ใน 2 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรกการเฝ้าระวังสารกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างในพืชผักและผลไม้ และประเด็นที่สองรูปแบบการจัดการประสานความร่วมมือในการผลักดันระบบอาหารปลอดภัย โดย การมีส่วนของทุกฝ่าย จนถึงระดับชุมชนที่มีกระบวนการจัดทำระบบรับรองให้อาหารปลอดภัย
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทนจาก สำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย(ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยด้านอาหาร) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมส่งเสริมการเกษตร 3 สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม สมาคมตลาดสดไทย มูลนิธิชีววิถี เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด สมาคมไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืช เครือข่ายเกษตรอินทรีย์จังหวัดกาญจนบุรี เครือข่ายเกษตรอินทรีย์แห่งประเทศไทยจังหวัดยโสธร เครือข่ายทาญาติเกษตรมืออาชีพ คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาประเด็นการเฝ้าระวังสารเคมีกำจัดศัตรูพืช รูปแบบการจัดการประสานความร่วมมือในการผลักดันระบบอาหารปลอดภัย โดยการมีส่วนของทุกฝ่าย จนถึงระดับชุมชนที่มีกระบวนการจัดทำระบบรับรองให้ อาหารปลอดภัย
มติที่ประชุม เห็นชอบ มอบหมายให้สำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทำข้อมูล และเผยแพร่ข้อมูลด้านความปลอดภัยทางอาหารตลอดห่วงโซ่อาหาร และจัดทำระบบการแจ้งเตือนผลการตรวจสอบการปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่อสาธารณะ โดยจะหารืออีกครั้งในการจัดทำแผนปฏิบัติร่วมกันกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพในการขับเคลื่อนต่อไป
ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยสำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย(ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยด้านอาหาร) กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแนวทางการดำเนินงานขับเคลื่อนสารเคมีฆ่าแมลงเพื่อทำให้เกิดอาหารปลอดภัยทั้งห่วงโซ่อาหาร
มติที่ประชุม โดยสำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัยรับเป็นเจ้าภาพในการจัดทำแผนการขับเคลื่อน อาหารปลอดภัยระดับประเทศ ซึ่งมีโครงการพัฒนาระบบการส่งเสริม สนับสนุน การสื่อสาร และบูรณาการอาหารปลอดภัยกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่ายของประเทศ ปี 2558 และ 2559 และจะนัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
- เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 นายวิมล จันทรโรทัย โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องการให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และแข่งขันได้ของสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งนอกจากกระทรวงเกษตรฯ จะได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตรและปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอย่างเข้มงวด ทั้งยังมีนโยบายเพิ่มศักยภาพในด้านการค้า และเคลื่อนย้ายสินค้าเกษตรระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ และแก้ไขปัญหาภาคเกษตรและความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ทันเหตุการณ์ ตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล และส่งผลสัมฤทธิ์สู่เกษตรกรในทุกพื้นที่ได้มากขึ้นแล้ว เพื่อให้ตอบสนองต่อนโยบายดังกล่าว คณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมายด้านการเกษตร และระบบการตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มอบหมายสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) จัดประชุมสัมมนา เรื่อง การบังคับใช้กฎหมายด้านการเกษตรและระบบตรวจสอบคุณภาพ เพื่อเพิ่มศักยภาพด่านตรวจสินค้าเกษตรในการนำเข้า-ส่งออกรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี (AEC) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกว่า 300 คน รับทราบนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย และได้รับความรู้เกี่ยวกับกฎหมายด้านการเกษตร รวมถึงสถานการณ์การจับกุมและดำเนินคดี และการเร่งรัดตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร ทั้งสินค้าพืช ปศุสัตว์ ประมง และปัจจัยการผลิตเป็นไปตามระบบมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการผลิตสินค้าเกษตรของไทย ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับมาตรการทางสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชก่อนการนำเข้าและส่งออก ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าในกลุ่มประชาคมอาเซียน และช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับต่างประเทศได้
- สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)ในฐานะเลขานุการของด้านการจัดทำมาตรฐาน ร่วมกับทางอาเซียน ได้พยายามจัดทำมาตรฐานของอาเซียนขึ้นมาเช่นมาตรฐานของด้านพืชสวน หรือด้านความปลอดภัยได้ทำ asean MRL ซึ่งตอนนี้กำหนดค่าประมาณ 800 กว่าค่าแล้ว นอกจากนี้ มกอช.ในฐานะได้ถูกมอบหมายให้ทำ asean food setting network ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งทางเว็บไซต์ ที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้หรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวกับด้านอาหารในอาเซียนขึ้น ได้เริ่มดำเนินงานประมาณ ๓ ปีที่แล้วเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน
- เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2558 ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายดูแลสุขภาพประชาชนทุกวัย ทุกอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรมีปัญหาที่น่าห่วงที่สุด จากความเสี่ยงใช้วัตถุเคมีทางการเกษตรในการเพิ่มผลผลิตหรือกำจัดศัตรูพืช สอดคล้องข้อมูลล่าสุดในปี 2555 ไทยนำเข้าสารเคมีเหล่านี้ 134 ล้านกว่ากิโลกรัม สารเคมีที่นำเข้ามากที่สุดคือ สารกำจัดวัชพืช สารกำจัดแมลง สารป้องกันและกำจัดโรคพืช ซึ่งในปี 2558 นี้ กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายในการป้องกันผลกระทบสุขภาพเกษตรกรทั่วประเทศ ได้มอบสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค เฝ้าระวังตรวจคัดกรองสุขภาพเกษตรกรที่ใช้สารกำจัดศัตรูพืช หากพบว่าผิดปกติ รีบให้คำแนะนำการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัยทันท่วงที ไม่ต้องรอให้มีอาการป่วยก่อน พร้อมตั้ง “คลินิกสุขภาพเกษตรกร” ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งเป็นสถานที่คุ้นเคย อยู่ใกล้ เข้าถึงสะดวก เพื่อดูแลสุขภาพเกษตรกรร่วมกับผู้นำชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งในชุมชน ลดความเสี่ยงเกิดโรคในกลุ่มเกษตรกรให้ได้มากที่สุด ในปี 2557 เปิดบริการแล้วร้อยละ 19 จะเร่งขยายให้ครอบคลุมพื้นที่ทำการเกษตรทุกแห่ง
- เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559 นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมหน่วยงานที่เก่ยวข้องได้ประชุมคณะกรรมการนโยบายด้านศาธารณสุขในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ครั้งที่ 2/2559 เพื่อติดตามการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ทีพีพี ต่อการสาธารณสุขและระบบสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ศึกษาผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมปรึกษาหารือประเด็นที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณสุข โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของทีพีพีต่อการสาธารณสุขและระบบสุขภาพเพื่อวิเคราะห์ประเด็นที่เป็นผลกระทบทุกด้าน เช่น การเข้าถึงยา ภูมิปัญญาไทย การกำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อปกป้องระบบสาธารณสุขและระบบสุขภาพ อาทิ มาตรการควบคุมการบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การคุ้มครองการลงทุนและนักลงทุน นโยบายระบบประกันสุขภาพ การยกเว้นของประเทศอื่นๆ วิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างประเทศ เช่น ประเด็นที่ได้รับประโยชน์ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มสมาชิกอาเซียน และมตรการรองรับผลกระทบด้านสาธารณสุขและระบบสุขภาพของไทยหากเข้าร่วมทีพีพี ก่อนที่จะนำเสนอรัฐบาลต่อไป
- กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำกลไกการส่งเสริมการค้าเกษตรอินทรีย์ไทยใน ๔ ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาผู้ประกอบการ การขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ การสร้างมูลค่าสินค้า และการสนับสนุนสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures - SPS) เน้นส่วนของสินค้านำเข้า มีการกำหนดมาตรการของไทยและดำเนินการขึ้นทะเบียนหรือรับรองโดยกรมการค้าต่างประเทศ รวมทั้งศึกษามาตรการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการด้าน SPS
- ได้จัดให้มีการรายงานต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2556 ในระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน พ.ศ.2557