-
วันที่ 8 สิงหาคม 2557 ที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ โดยมี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องการจัดทำเขตบริการสุขภาพเพื่อประชาชน สนับสนุนสุขภาวะของประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำ
ความไม่เป็นธรรม ผ่านการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนแบบไร้รอยต่อ โดยไม่ผูกพันกับงบประมาณและ ทรัพยากร ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิรูประบบสุขภาพในอนาคต และตอบโจทย์เรื่องความปรองดองสมานฉันท์ เบื้องต้นแต่งตั้ง นพ. ณรงค์ อังคะสุวพลา กรรมการ สช. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมีคณะทำงานทั้งหมด 20 คน ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน มหาวิทยาลัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้คณะทำงานหารือ ออกแบบเขตบริการ เพื่อนำมาเสนอในที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติปลายเดือน ธ.ค.2557 - เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2556 และ ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2557 ที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบแล้วในการประชุม ครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ ตามลำาดับความสำคัญเร่งด่วน โดยให้ยึดหลัก ดังนี้ (1) นโยบายของรัฐบาล (2) กฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (3) งบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ของหน่วยงาน
- เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2557 นพ.พินิจ ฟ้าอำนวยผล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับกรณีที่ภาคประชาชนเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบสุขภาพทั้งระบบเพื่อสร้างความเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะในมิติการเข้าถึงกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคของผู้สูงอายุ เนื่องจากคาดว่าประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ในปี 2567 และเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในปี 2573 ดังนั้น ประเทศไทยควรมีความพร้อมด้านการส่งเสริมระบบสุขภาพมากกว่าที่เป็นอยู่
- เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2557 นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่าได้หารือกับผู้บริหาร สธ. ในการจัดทำข้อเสนอต่อ รมว.สธ. และ รมช.สธ. ได้ข้อสรุป 16 ข้อ โดยมี 4 เรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการคือ 1. การสร้างธรรมาภิบาลใน สธ. ให้โปร่งใสมากขึ้น 2. เรื่องขวัญกำลังใจสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ต้องมีการจัดทำกรอบอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภาระงานและประชากรเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบริหารบุคคล 3. เรื่องการปฏิรูปเขตสุขภาพ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากร และการให้บริการภายในเขตร่วมกัน ซึ่งตรงกับมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็เห็นชอบ 4. เรื่องระบบการเงินการคลัง ซึ่งภาพรวมมีอยู่ประมาณ 2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบของ สธ. 1 แสนล้านบาท สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 1 แสนล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของงบเหมาจ่ายรายหัวของกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รพ.ในสังกัด จะได้รับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวจากกองทุนฯ ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
- เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 ขบวนการปฏิรูปประเทศไทยได้เสนอยุทธศาสตร์ 3 ด้าน โดยมีมาตรการรูปธรรม 16 ประการ สำหรับ 5 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย (เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน) กลุ่มผู้ด้อยโอกาส (คนเร่ร่อน, ไร้สัญชาติ, ติดเชื้อ, ติดยา, ต้องโทษ) กลุ่มเปราะบางทางสังคม (เด็ก, เยาวชน, ผู้สูงอายุ, สตรี, ผู้พิการ, กลุ่มชาติพันธุ์) กลุ่มชุมชนท้องถิ่นและเครือข่ายภาคประชาสังคม ทั้งนี้ ไม่รวมประเด็นสิทธิด้านการศึกษาและสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่แยกออกไป โดยข้อเสนอที่ได้รวบรวมมาจากภาคีต่างๆ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI) ในฐานะผู้รวบรวมข้อเสนอทางนโยบายของสถาบัน องค์กรและภาคีต่างๆ มากมายและในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินกระบวนการประชุมระดมความคิดรับฟังข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการภาคสนามหลายเวที นับเป็น “คลังความรู้” มหาศาลที่ถอดรหัส “วิธีการ” ขับเคลื่อนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอเพียงการนำไปใช้ในภาคปฏิบัติเท่านั้น
ด้านแรก : ด้านสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน ประกอบด้วยมาตรการการกระจายความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและสิ่งแวดล้อมอันเป็นสมบัติสาธารณะของชาติ สร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตและความปลอดภัยในการทำงานให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง และซ่อมแซมฐานล่างของสังคมอย่างเป็นระบบ ตามข้อเสนอของเครือข่ายสมัชชาปฏิรูประดับชาติ รวม 6 มาตรการ ได้แก่
1) การผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ.สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้คนจนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
2) การผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า เพื่อป้องกันการกักตุนเก็งกำไรจากที่ดินโดยปล่อยทิ้งร้างว่างเปล่า
3) การผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ.ธนาคารที่ดิน เพื่อเป็นกลไกการจัดการทรัพยากรที่ดินให้เกิดการกระจายตัว เกิดประโยชน์สุขและความเป็นธรรมในสังคม
4) การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2524 เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมอย่างเต็มประสิทธิภาพ
5) การผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือดูแลประชาชนที่ยากจน ผู้ได้รับผลกระทบจากกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับปัญหาที่ดินและอื่นๆ
6) การเร่งรัดการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยฯ 2554 เพื่อเพิ่มหลักประกันแก่ผู้ใช้แรงงาน ในด้านความปลอดภัยและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในโรงงาน
ด้านที่สอง : ด้านสังคมเข้มแข็ง
ประกอบด้วย 4 มาตรการในการส่งเสริมสนับสนุนการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำเพื่อการพึ่งตนเองได้ในกลุ่มประชากรรากหญ้า ทั้งในชนบทและในเมือง เสริมสร้างความเข้มแข็งของสังคมจากฐานล่างพระเจดีย์ เพิ่มเครื่องมือในการพัฒนาสังคมและขยายบทบาทพลเมือง เมืองผู้ตื่นรู้ในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ
1) ผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ.กองทุนภาคประชาสังคม เพื่อนำรายได้และผลกำไรจากสลากกินแบ่งส่วนหนึ่ง มาตั้งเป็นกองทุนสนับสนุนการพัฒนาสังคม ดูแลประชากรกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มเปราะบางทางสังคมอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ตามข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปสลากเพื่อสังคมเข้มแข็ง และคณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา
2) ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์รวมแสงเลเซอร์สนับสนุนชุมชนเข้มแข็งชุมชนสุขภาวะอย่างเป็นขบวนการ เพื่อบูรณาการภารกิจสนับสนุนชุมชนเข้มแข็งของ 46 หน่วยงานภาคีระดับชาติ มุ่งเสริมความเข้มแข็งขององค์กรชุมชนทั่วประเทศทั้ง 23 ประเภท 300,000 องค์กร ภายใน 10 ปี ทั้งนี้ ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 6
3) ผลักดันแนวคิดการจัดตั้งธนาคารแรงงาน เพื่อให้เป็นสถาบันการเงินของผู้ใช้แรงงาน 20 ล้านคน ตามข้อเสนอของกรรมการปฏิรูป
4) การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประกันสังคมเพื่อให้มีอิสระ ประสิทธิภาพ ธรรมาภิบาล และการมีส่วนร่วมของผู้ประกันตนในการดำเนินงานมากขึ้น เป็นไปตามข้อเสนอของเครือข่ายสมานฉันท์แรงงานไทย
5) ผลักดัน (ร่าง) พ.ร.ฎ.จัดตั้งสถาบันส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ…. ตามข้อเสนอของสมัชชาปฏิรูปชายแดนใต้
ด้านที่สาม : ด้านสังคมคุณธรรม ประกอบด้วย 5 มาตรการในการปรับโครงสร้างความสัมพันธ์และผลประโยชน์ เปิดโอกาสให้กับคนเล็กคนน้อยในสังคม ทั้งในและนอกระบบ เพิ่มหลักประกันในชีวิตรวมทั้งขยายบทบาทชุมชนท้องถิ่นและประชาสังคมในการเยียวยาผลกระทบจากความแตกแยกทางสังคมและฟื้นฟูคุณธรรมจริยธรรมของสังคมไทย ภายหลังความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่อีกด้วย
1) ผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ.สลากกินแบ่งฉบับประชาชน เพื่อปฏิรูประบบสลากกินแบ่งอันมีแหล่งที่มาของรายได้หลักจากคนจน ให้กลับไปดูแลและสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มเป้าหมายตามข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปสลากเพื่อสังคม
2) การเร่งรัดการบังคับใช้ พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ 2554 เพื่อให้กฎหมายที่ถูกดองเอาไว้ด้วยเหตุผลทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ได้รับการดำเนินการให้เกิดประโยชน์สร้างหลักประกันแก่ประชาชนและรองรับสังคมผู้สูงอายุ
3) การแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ 2518 เพื่อให้มีความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้แรงงาน ตามอนุสัญญาองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ
4) การขับเคลื่อนแผนพัฒนาความซื่อตรงแห่งชาติเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมความซื่อสัตย์ซื่อตรงผ่าน 7 เครือข่ายสังคมคุณธรรม ตามมติสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติครั้งที่ 6
5) การขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูคุณธรรมจริยธรรมของสังคมไทย โดยเฉพาะความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ความถูกต้องดีงามและความรับผิดชอบ รวมทั้งคุณธรรมสังคมในด้านความสามัคคีเป็นปึกแผ่น ความเอื้ออาทรความมีน้ำใจ เพื่อนำสังคมไทยกลับสู่สังคมแห่งรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ ตามข้อเสนอของเครือข่ายองค์กรภาคีสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ
- เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 ระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนด้าน “สุขภาพ-สุขอนามัย” นั้น ได้เตรียมเสนอแผนพัฒนาระบบสุขภาพเร่งด่วน 4 เรื่องจากทั้งหมด 16 เรื่อง ต่อ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พิจารณา ได้แก่ 1.ระบบธรรมาภิบาล 2. การสร้างขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ทุกระดับ 3. การจัดระบบบริการสุขภาพ และ 4.การพัฒนาระบบสุขภาพระดับ อำเภอควบคู่ไปกับการพัฒนาโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยจะจัด ทำโครงการทศวรรษพัฒนา รพ.สต. ซึ่งจะเชื่อมโยงกับหมอประจำครอบครัวและการจัดบริการปฐมภูมิด้วย
- เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2557 โครงการเวทีภาคีพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Forum) ได้รวบรวมสรุปแนวคิดต่างๆ จากการศึกษาวิจัยและจัดทำข้อเสนอแนวทางการจัดการทรัพยากรที่ดินของ 11 หน่วยงาน/องค์กร ที่ได้ดำเนินการมาล่วงหน้านับสิบปี มีมาตรการต่างๆ ที่หลากหลายรวม 6 ด้าน 58 มาตรการนั้น ในที่สุดได้ผ่านการสังเคราะห์จากสมัชชาปฏิรูประดับชาติ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ โดยสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 11 มาเป็นชุด (ร่าง) พ.ร.บ.เพื่อคนจน 4 ฉบับ อันได้แก่
1. (ร่าง) พ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากร พ.ศ. …แต่เดิมชื่อร่าง พ.ร.บ.โฉนดชุมชน แต่ว่าล่าสุดไม่มีร่าง พ.ร.บ. โฉนดชุมชนแล้ว และจะใช้ชื่อนี้แทน เพราะจะไม่ใช่การจัดการที่ดินอย่างเดียว จะเป็นเรื่องดินน้ำป่าและทรัพยากรอื่นในทะเลด้วย ทั้งนี้ จะเอาเรื่องสิทธิชุมชนเป็นแกนหลักนำไปสู่การจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ยั่งยืนและเป็นระบบ
2. (ร่าง) พ.ร.บ.ธนาคารที่ดิน พ.ศ. …โดยหลักแล้วเมื่อมีธนาคารที่ดินก็จะทำให้มีกองทุนดำเนินการ ถ้าหากว่าที่ดินรกร้างว่างเปล่า ธนาคารที่ดินจะเข้าไปขอซื้อจากนายทุนเอามาจัดการในรูปโฉนดชุมชนและให้ประชาชนที่ต้องการใช้ประโยชน์ สามารถเช่าที่ดินในระยะยาวได้ ไม่ให้เป็นกรรมสิทธิ์ ให้ที่ดินยังคงเป็นสมบัติของส่วนรวม
3. (ร่าง) พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า พ.ศ. …หัวใจหลักเป็นเรื่องภาษีอัตราก้าวหน้า กฎหมายจะกำหนดคนสามารถเป็นเจ้าของที่ดินเกินกว่า 50 ไร่ได้แต่ต้องเสียภาษีอัตราก้าวหน้า ถ้ามีไม่เกิน 50 ไร่ก็เสียอัตราธรรมดา เพื่อที่จะให้คนที่มีที่ดินมากๆ มีภาระจะต้องจ่ายภาษี ถ้าไม่นำที่ดินไปใช้ประโยชน์ แต่ถ้าใช้ประโยชน์ก็จะถูกลง และมีรายได้จากส่วนอื่นมาชดเชย
4.(ร่าง) พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม พ.ศ. … เรื่องกองทุนยุติธรรม ขณะนี้เป็นแค่ระเบียบของกระทรวงยุติธรรมและมีเงินกองทุนจำนวนไม่มาก ในข้อเสนอนี้ให้ยกระดับระเบียบนี้ขึ้นเป็น พ.ร.บ. และมีเงินกองทุนที่ใหญ่ขึ้น มีภารกิจช่วยเหลือคนยากจนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมกว้างขวางขึ้น รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากคดีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย - เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2557 บทบาทของภาคส่วนต่างๆ ในการทำงานเรื่องการปฏิรูปมีดังนี้
- ภาคชุมชน ซอาจจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ครอบคลุมองค์กรชุมชนทั้งประเทศ เช่น เครือข่ายองค์กรชุมชนและประชาสังคมเพื่อการปฏิรูป (คชสป.) มีสมาชิกกว่า 15,000 องค์กรทั้งประเทศ ตั้งใจปฏิรูปด้านที่ดิน สวัสดิการ และปัญหาคนชายขอบ เครือข่ายประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move ซึ่งให้ความสำคัญกับปัญหาร้อนที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมทั้งสภาประชาชนสภาพลเมืองเพื่อการปฏิรูป เป็นต้น
- ภาคสถาบันการศึกษา ก็มีอยู่หลายเครือข่าย เช่น เวทีถกแถลงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ข้อเสนอการปฏิรูปด้านต่างๆ ของที่ประชุมอธิการบดีประเทศไทย ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป 16 ด้านของอาจารย์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เป็นต้น
- ภาคสื่อมวลชน มีหลายเวที เช่น ความร่วมมือของไทยพีบีเอสกับเครือข่ายต่างๆ จัดเวที ‘เสียงประชาชนที่ต้องรับฟังก่อนการปฏิรูป’ ขึ้นทุกภาค เวทีความร่วมมือระหว่าง ‘กรุงเทพธุกิจ’ กับ NOW 26 จัดเทวีพลเมืองปฏิรูป 6 ประเด็น เป็นต้น
- ความร่วมมือระหว่างหลายองค์กร เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน P-move เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายแรงงาน กป.อพช. RNN เป็นต้น ตั้ง ‘สภาประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ’ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เป็นฝ่ายวิชาการ รวบรวมทุกประเด็นปัญหา สังเคราะห์บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชนขึ้นมา
- วันที่ 27 ตุลาคม 2557 นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงนโยบายในการปฏิรูประบบสุขภาพ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้แทนสาธารณสุขอำเภอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบล (รพ.สต.) และนักวิชาการสาธารณสุข จากทุกจังหวัดประมาณ 200 คน เพื่อพัฒนาเครือข่ายสุขภาพอำเภอ (District Health System : DHS) ในการขับเคลื่อนงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันและลดปัญหา การเจ็บป่วยของประชาชน มีเป้าหมาย สูงสุดคือประชาชนสุขภาพดี สามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ โดยใช้รูปแบบเขตสุขภาพในการจัดระบบบริการ แบ่งเป็น 12 เขต และเขตกทม. เพื่อกระจายอำนาจในการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องบุคลากร งบประมาณ ไปที่เขต มีหลักการสำคัญ 2 ประการ คือ การบริหารจัดการทรัพยากรสุขภาพร่วมภายในเขตสุขภาพ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ และการจัดบริการร่วมกันระหว่างสถานบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และสังกัดอื่นๆ ในพื้นที่ ในการขับเคลื่อนเขตสุขภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน จะมีการขับเคลื่อน 3 เรื่องใหญ่ ได้แก่ 1.การจัดระบบบริการตามแผนการจัดบริการ 10 สาขา อาทิ หัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง อุบัติเหตุ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นต้น ให้มีระบบการค้นหา ติดตาม ส่งต่อและดูแลผู้ป่วย เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับหมู่บ้านคือรพ.สต. ไปจนถึง โรงพยาบาลใหญ่หรือระดับเชี่ยวชาญภายในเขตสุขภาพ 2.ทศวรรษการพัฒนารพ.สต. ซึ่งเป็นหน่วยบริการสุขภาพที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนที่สุด ทั่วประเทศมี 10,198 แห่ง สอดคล้องกับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบบริการปฐมภูมิ เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริม สุขภาพ ป้องกันโรคในชุมชน และ 3.การพัฒนา เครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอให้เข้มแข็ง เพื่อดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพประชาชนตามบริบทของพื้น
- วันที่ 22 มกราคม 2558 จากการที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในแนวทางการบูรณาการใช้งานภาพถ่ายจากการสำรวจระยะไกล ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เสนอไปนั้น ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ข้อเสนอดังกล่าว เป็นแผนปฏิรูป 1 ใน 5 ด้าน ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ คือ การใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อทรัพยากร อันเป็นแนวทางนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรของประเทศอย่างเหมาะสม รวมถึงสามารถวางแผนป้องกันก่อนเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งองค์ประกอบของการดำเนินการเป็น 3 ส่วน คือ ระบบคลังภาพถ่ายทางอากาศและภาพจากดาวเทียมแห่งชาติ ซึ่งกระจายตามหน่วยงานแต่เชื่อมโยงและให้บริการด้วยมาตรฐานเดียวกัน และ 2. คือศูนย์ข้อมูลแนวเขตและรูปลักษณ์ที่มีกฎหมายรองรับ เช่น แปลงที่ดินกรรมสิทธิ์ ที่ดินของรัฐ ป่าไม้และพื้นที่อนุรักษ์ ที่ดินทำกินที่ได้รับอนุญาต ผังเมืองและเขตเศรษฐกิจพิเศษ อาคาร ระบบสาธารณูปโภค สุดท้ายคือ ระบบภูมิสารสนเทศเพื่อการติดตามสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงได้ทันต่อเหตุการณ์ เช่น ภัยพิบัติ การบุกรุกป่าไม้และที่ของรัฐ การเพาะปลูกและคาดการณ์ผลผลิต แหล่งน้ำ มลพิษและอุบัติภัยทางบกและทะเล การใช้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ฯลฯ
- วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2558 ความคืบหน้าการจัดทำร่างปฏิรูปด้านสังคมฯ ว่า ได้รวบรวม 12 ประเด็นที่สมาชิก กมธ.ปฏิรูปสังคมเสนอสรุปเป็น 3 เรื่องหลัก ดังนี้ 1.การปฏิรูประบบเพื่อเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งจะทำใน 4 ด้านได้แก่ สร้างระบบและกลไกหนุนชุมชนจัดการตนเอง โดยจะเปิดให้ชุมชนเป็นนิติบุคคลสามารถจัดการตัวเองได้ หรือเป็นสภาองค์กรชุมชน, ระบบและกลไกหนุนสัมมาชีพชุมชน/เศรษฐกิจชุมชน โดยจะทบทวนเรื่องรัฐวิสาหกิจชุมชน ทุนชุมชน สหกรณ์ชุมชน เปิดให้ชุมชนได้คิดและมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เหมาะสมกับบริบทชุมชน โดยเราจะสร้างระบบจับคู่ระหว่างชุมชนกับภาคเอกชนในการถ่ายทอดความรู้การเป็นผู้ประกอบการ, ระบบสวัสดิการชุมชน โดยจะส่งเสริมการออมตั้งแต่เกิดจนตายสำหรับคนที่อยู่ในชุมชน เชื่อมโยงการออมแห่งชาติ เป็นการเชื่อมสวัสดิการชุมชน และระบบการจัดการ ทรัพยากรชุมชน โดยเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรของชุมชนร่วมกับรัฐ เป็นโฉนดชุมชน ป่าชุมชน 2.การปฏิรูประบบรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งด้วยไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงต้องนำผู้สูงอายุกลับมาทำงานใช้ประโยชน์ ขณะเดียวกันต้องดูแลระบบสวัสดิการ การเงิน สุขภาพ โดยเรื่องนี้เกี่ยวข้อง กมธ.อีก 4 ด้านต้องมาทำงานร่วมกัน ฉะนั้นประธาน สปช.จึงแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย โดยมีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นระบบทำงานใหม่ที่ไม่เหมือนระบบราชการ เป็นการเชื่อมโยงการทำงานข้าม กมธ.ที่ต้องการความสำเร็จ และ 3.การปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม เรื่องนี้ใหญ่และเกี่ยวข้องทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มั่นคงทางสุขภาพ มั่นคงสังคม ฉะนั้นต้องมาทบทวนสวัสดิการเพื่อประชาชนต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย อะไรที่ดีอยู่แล้วก็ทำต่อ ส่วนอะไรไม่ดีก็ปรับเปลี่ยน หรือเริ่มใหม่ อย่างไรก็ตาม สปช.มีเวลาดำเนินการจัดทำร่างปฏิรูปอีกไม่เกิน 6-7 เดือน ฉะนั้นภายใน 1-2 เดือนจากนี้จะต้องจัดทำกรอบแนวคิดและรวบรวมข้อเสนอให้ชัดเจนเพื่อนำเสนอ สปช.ใหญ่ จากนั้นภายใน 3 เดือนโรดแมปต้องเสร็จเพื่อเสนอ สนช.ใหญ่ และเสนอตามขั้นตอนต่อไปได้
- เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ได้เชิญผู้บริหารในภูมิภาค ซึ่งเป็น 5 เสือของกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลชุมชน/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและสาธารณสุขอำเภอ เพื่อสื่อสารแนวทางการปฏิรูประบบสาธารณสุข ที่กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอต่อคณะกรรมมาธิการการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุข สภาปฏิรูปแห่งชาติโดยมี 4 เรื่อง ได้แก่ 1.พัฒนากลไก การสร้างเอกภาพในการกำหนด นโยบาย สาธารณสุขของประเทศ โดยเสนอให้มีคณะกรรมการอำนวยการสาธารณสุขแห่งชาติ (National Health Directing Board : NHDB) 2.ปฏิรูประบบบริการเป็นเขตสุขภาพ 3.ปฏิรูปการเงินการคลังด้านสุขภาพ และ4.สร้างระบบธรรมาภิบาลและกลไกเฝ้าระวัง ตรวจสอบถ่วงดุล
- เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 ในที่ประชุมวิชาการพยาบาลแห่งชาติ ครั้งที่ 15 เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การปฏิรูประบบสุขภาพ (Updated Health Care Reform” ว่า ในปีงบประมาณ 2559 กระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งเป้าดำเนินการใน 5 เรื่องคือ 1.ความเป็นเอกภาพของทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการ 2.การเงินการคลังด้านสุขภาพระยะยาวของระบบ ให้มีความยั่งยืน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพ และการหาแหล่งเงินที่เหมาะสม 3.การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันปัจจัยเสี่ยง เพื่อลดการเจ็บป่วย 4.จัดระบบดูแลผู้สูงอายุระยะยาว เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ 5.การใช้ภูมิปัญญาไทย การแพทย์แผนไทยในการพัฒนาสุขภาพ ทั้งนี้ สภาปฏิรูปแห่งชาติได้เสนอ 3 วาระปฏิรูป คือ ระบบบริการสาธารณสุข ระบบการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และระบบบริหารจัดการและการเงินการคลังด้านสุขภาพ อาทิ การปฏิรูปให้ระดับปฐมภูมิพื้นที่เป็นฐานระบบสุขภาพอำเภอ ระบบการสนับสนุนตามกรอบระบบสุขภาพซึ่งมีองค์ประกอบที่พึงประสงค์หลัก 6 ส่วนขององค์การอนามัยโลก กลไกสร้างความเข้มแข็งทุกระดับ กระจายให้ชุมชนท้องถิ่น การมีคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการสุขภาพท้องถิ่น การแยกบทบาทผู้กำหนดนโยบาย-ผู้จัดบริการ-ผู้ซื้อ-ผู้สนับสนุน การผลิตและพัฒนาคน ศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ เคลียร์ริ่งเฮ้าส์
- มื่อวันที่ 15 มกราคม 2559 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4 ที่มี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เลขาธิการนายกรัฐรัฐมนตรี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขเป็นเลขานุการ ได้เห็นชอบกรอบการขับเคลื่อนและปฏิรูประบบการสาธารณสุข 4 บวก 4 โดยแต่ละประเด็นได้ตั้งคณะกรรมการดูแล พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลหรือหน่วยงานเพิ่มเติม สำหรับประเด็นการขับเคลื่อนและปฏิรูประบบสาธารณสุข 4 บวก 4 ประกอบด้วย 1.ประเด็นการขับเคลื่อนระบบการสาธารณสุขใน 4 เรื่อง ได้แก่ การให้บริการอย่างทั่วถึงครอบคลุม เน้นการใช้พื้นที่เป็นฐานการทำงาน การสร้างเสริมสุขภาพทุกช่วงอายุ การสร้างระบบหลักประกันสุขภาพ เน้นเรื่องอุบัติเหตุ และการพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยและการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ (Medical Hub) เพื่อนำรายได้เข้าประเทศ 2.ประเด็นการปฏิรูประบบการสาธารณสุข 4 เรื่อง ได้แก่ ระบบบริการ (Service Reform) เน้นเรื่องหมอครอบครัว งานส่งเสริมสุขภาพสุขภาพและป้องกันโรค (Prevention and Promotion Reform) เน้นการปฏิรูปงานป้องกันควบคุมโรค การเงินการคลัง (Financing Reform) เน้นโปร่งใสตรวจสอบได้ และระบบบริหารจัดการ (Governance Reform) เน้นเรื่องข้อมูลข่าวสาร ความมั่นคงด้านยา โดยแต่ประเด็นจะมีการตั้งคณะกรรมการมาดูแล หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำเสนอประเด็นใดๆเพิ่มเติม คณะกรรมการชุดนี้ยินดีรับฟัง ทั้งนี้ จะดำเนินการให้ทันแผนการปฏิรูปประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยจะประชุมหารืออีกครั้งในวันที่ 27 มกราคม 2559 เพื่อจัดลำดับความสำคัญของงาน เช่น เรื่องที่ต้องแก้กฎระเบียบ การปรับโครงสร้าง เป็นต้น นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
-
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า คณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขได้นำเสนอแนวทางการทำงานในการประชุมการปฏิรูปด้านสาธารณสุข ซึ่งมีผู้แทนจากเขตสุขภาพ 12 เขต กทม. และทุกภาคส่วนเข้าร่วม โดยประเด็นเหนึ่งที่น่าสนใจคือ กลไกในการอภิบาลระบบสุขภาพซึ่งมีผู้เสนอในรูปแบบคณะกรรมการระดับแต่มีข้อเสนอทางเลือกการทำงานออกเป็น 3 รูปแบบ
1) รูปแบบคณะกรรมการประสานงานด้านนโยบายสุขภาพแห่งชาติเป็นการอภิบาลโดยจัดตั้งให้มีกลไกที่จะสามารถประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่มีบทบาทด้านสุขภาพ ให้มีมิศทางการทำงานที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อน ขัดแย้ง โดยไม่ได้ไปก้าวล่วงต่ออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่แต่ละองค์กรมีอยู่
2) รูปแบบคณะกรรมการความร่วมมือด้านสุขภาพแห่งชาติ เป็นการอธิบายโดยจัดตั้งให้มีกลไกกลางที่สร้างความร่วมมือในการกำหนดทิศทาง มาตรการ การดำเนินการเฉพาะในประเด็นที่มีความสำคัญ ซึ่งหากมีข้อเสนอหรือมติอย่างใดให้มีผลผูกพันต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3) คณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ เป็นการอภิบาลโดยจัดให้มีกลไกที่สามารถใช้อำนาจเหนือหน่วยงานด้านสุขภาพทั้งหมด โดยเฉพาะหน่วยงานหรือกลไกของรัฐไม่ว่าจะเกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.ใดก็ตาม เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการกำหนดและดำเนินการตามนโยบายสุขภาพ
ทั้งนี้ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเลือกรูปแบบใด แต่ได้มอบให้คณะทำงานไปศึกษาข้อดีข้อเสียของทั้ง 3 รูปแบบเพื่อนำเสนออีกครั้ง
- เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข โดยมีพลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนดำเนินการขับเคลื่อนเพื่อการปฎิรูปด้านสาธารณสุข ในระยะ 18 เดือน และแนวทางปฏิรูปต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2561-2565 ใน 3 ด้าน คือ ด้านระบบบริการสุขภาพส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค แพทย์แผนไทยและศูนย์กลางด้านการแพทย์ ด้านการคลังสุขภาพและระบบหลักประกันสุขภาพ และด้านการอภิบาลระบบสุขภาพ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้รวบรวมจากคณะทำงานขับเคลื่อนและปฏิรูปฯ ทั้ง 8 คณะ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั่วประเทศ
- เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2559 ภายหลังการบรรยายพิเศษ “ปฎิรูประบบสุขภาพไทย” ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยนพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในเรื่องดังกล่าวกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงนี้ ได้กำหนดเรื่องระบบการคลังสุขภาพเป็น 1 ใน 4 ประเด็นที่ต้องเร่งรัดปฏิรูป เพื่อทำให้ระบบการคลังสุขภาพมีความยั่งยืน พอเพียง เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ (SAFE: S=sustainability A=accessibility F=fairness E=effectiveness) โดยไม่ใช้งบประมาณภาครัฐเพิ่มไปกว่าในปัจจุบันมากนัก ด้วยความร่วมมือประชารัฐเพื่อความยั่งยืนในระบบสุขภาพ สำหรับ ประเด็นการขับเคลื่อนระบบสุขภาพมี 4 ประเด็น ได้แก่ ให้บริการอย่างทั่วถึงครอบคลุม สร้างเสริมสุขภาพทุกช่วงอายุ สร้างระบบหลักประกันสุขภาพ และการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ ประเด็นปฎิรูประบบสุขภาพ 4 ประเด็น ได้แก่ ระบบบริการ งานส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค การเงินการคลังและระบบบริหารจัดการ โดยมีเป้าหมาย ลดป่วย ลดตาย ลดแออัด ลดเวลาในการรอคอย โดยในการปฏิรูปและขับเคลื่อนระบบบริการ เพื่อลดป่วยนั้น เน้นการพัฒนาบริการปฐมภูมิให้มีคุณภาพ เพิ่มบริการปฐมภูมิในเขตเมือง มีทีมหมอครอบครัว 3 ทีมต่อประชากร 30,000 คน ในส่วนการลดตาย ลดรอคอยและลดเวลาส่งต่อ จะเน้นพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ ตติยภูมิ โดยมีแผนพัฒนาศูนย์แพทย์เชี่ยวชาญชั้นสูง และการผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับคณะแพทย์ศาสตร์ของ 19 มหาวิทยาลัย ใน 5 หลักสาขาเพื่อประจำในทุกเขตสุขภาพ ตั้งเป้าให้ผู้ป่วยไตวายทุกคนได้รับบริการ ผู้ป่วยโรคหัวใจลดลงร้อยละ 10 ใน 5 ปี ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทุกคนได้รับยาละลายลิ่มเลือดทันเวลา และการส่งต่อผู้ป่วยได้ในโรงพยาบาลทุกสังกัดแบบไร้รอยต่อ