1.1 ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก
1.1.1 ดำเนินการควบคุมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2551 โดยใช้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 เป็นเครื่องมือและสร้างการมีส่วนร่วมที่นำไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะการให้ความรู้ การสร้างกระแสและการเฝ้าระวังการตลาดจากภาคส่วนต่างๆ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาช
1.1.2 พัฒนาและผลักดันร่างพระราชบัญญัติการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก พ.ศ..... ให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2555 โดยจัดให้มีกลไกดำเนินการ และใช้หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2551 เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานขั้นต่ำ ภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าวให้มีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยพิจารณาทุนการดำเนินงานจากภาษีการนำเข้าหรือรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมผสมจากต่างประเทศในลักษณะเดียวกับกองทุนสำหรับการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งเป็นแบบอย่างความสำเร็จของไทยและเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ
1.1.3 พัฒนากลไกการปฏิบัติ ระบบการติดตามประเมินผล และระบบการรายงานผล โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งระดับท้องถิ่น จังหวัด ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ
1.2 ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี กรมบัญชีกลาง และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ศึกษาเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายสิทธิการลาคลอด และพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิการลาคลอดให้เป็น 180 วัน รวมถึงการได้รับค่าจ้างระหว่างลา ในกรณีที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และให้จัดมาตรการหรือสวัสดิการในการส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่สตรีที่คลอดบุตรและอยู่ระหว่างการให้นมบุตรในสถานประกอบกิจการและสถานที่ทำงาน รวมทั้งพิจารณามาตรการการลดหย่อนภาษี และการประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานประกอบกิจการที่เป็นแบบอย่างของการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- วันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) มาตรฐานศูนย์เด็กเล็กแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และเห็นควรให้ประกาศใช้มาตรฐานศูนย์เด็กเล็กแห่งชาติให้เป็นมาตรฐานกลางของประเทศ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประเมินผลการดำเนินงานศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน สำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พม. ดำเนินการโดยนำมาตรฐานศูนย์เด็กเล็กแห่งชาติใช้เป็นแนวทางในการประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์และเป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพของศูนย์เด็กเล็ก
- วันที่ 30 พฤษภาคม 2555 สช. ได้จัดการประชุมปรึกษาหารือมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เรื่อง การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ณ ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ที่ประชุมมีการหารือ 4 ประเด็น ดังนี้
- ร่างพระราชบัญญัติการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ..... ที่ประชุมมีมติดังนี้ 1) การตั้งกลไกการขับเคลื่อน กลไกการขับเคลื่อนเป็น 2 ช่องทางโดยทำคู่ขนานไปพร้อมกัน ช่องทางที่ 1 ภาครัฐโดยกรมอนามัย -กระทรวง-ครม-สภา ช่องทางที่ 2 ภาคประชาชน-สภา โดยกรมอนามัยแต่งตั้งและประชุมคณะกรรมการพัฒนาและผลักดันร่าง พรบ.การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ..... มีนายแพทย์ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นที่ปรึกษา รองปลัดกระทรวงที่รับผิดชอบดูแลกรมอนามัยเป็นประธาน ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข 2) ร่าง พรบ. ที่ประชุม มอบหมายให้ แพทย์หญิงนิพรรณพร วรมงคล แพทย์หญิงยุพยง แห่งชาวนิช แพทย์หญิงหญิงนภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล และคณะ ทบทวนเนื้อหาสาระ ความครอบคลุม ในร่างพรบ.ที่ อ.วรรณา ได้จัดทำไว้ และ 3) กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วม จัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น
- การศึกษาความเป็นไปได้ขยายวันลาคลอด 180 วัน ที่ประชุมมีมติเสนอให้มีการทบทวนองค์ความรู้และหาโจทก์วิจัย ได้แก่ หลักสิทธิมนุษยชน (ILO/CRC) กฎหมายต่างประเทศ และ กฎหมายในประเทศ โดย.แพทย์หญิงยุพยง จะประสานกับ อ.ศุวิมล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการวิทยาลัยประชากรศาสตร์ และนายแพทย์ศิริวัฒน์ จะประสาน Hitapp
- รูปแบบการรายงานความก้าวหน้าต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 5 เดือน ธันวาคม 2555 จะนัดหารือในการประชุมครั้งต่อไป
- กรณีการละเมิดหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดฯของบริษัท ดูเม็กซ์ ของแจกสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพ ตามโครงการส่งเสริมพัฒนารอบด้านเพื่อลูกรักแข็งแรงและมีความสุข ที่ประชุมมีมติขอให้กรมอนามัยจัดทำหนังสือถึงสำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพ โครงการส่งเสริมพัฒนารอบด้านเพื่อลูกรักแข็งแรงและมีความสุข ขอความร่วมมือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดฯ
- เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2556 ในการประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติ ครั้งที่ 4 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมให้หญิงหลังคลอดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน ให้ได้ร้อยละ 60 ภายในปี 2558 หรือให้เด็กทารกกินนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน ให้ได้ 4.8 แสนคน นอกจากนี้มีนโยบายขอความร่วมมือจากบริษัท ผู้ผลิตและจำหน่ายนมเด็ก ไม่ให้มีการส่งเสริมการขายหรือทำการตลาดในกลุ่มหญิงหลังคลอด มีนโยบายสนับสนุนให้ขยายสิทธิข้าราชการหญิงลาคลอดต่อเนื่องจาก 90 วันเป็น 180 วัน หนุนการขยายสิทธิให้พ่อลางานเพื่อช่วยภรรยาเลี้ยงลูกหลังคลอดและได้รับค่าจ้างจาก 15 วันเป็น 30 วัน และสนับสนุนให้สถานประกอบการจัดมุมนมแม่ให้พนักงานสามารถปั๊มน้ำนมไปให้ลูกระหว่างทำงานได้
- เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้แม่หลังคลอดที่มีประมาณปีละแปดแสนราย เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 60 ภายในปี 2558 จึงได้มีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกระดับทั้งในสังกัด และนอกสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขเป็นพื้นที่ปลอดนมผง
- เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเรื่องมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ประกอบด้วย
- ไม่ควรส่งเสริมหรืออนุญาตให้มีกิจกรรมด้านการขายและการตลาดทุกด้านเพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารทดแทนนมแม่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ขวดนม จุกนม ไม่ควรแสดงผลิตภัณฑ์ และสื่อที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยกเว้นสื่อที่ได้รับอนุญาต
- .ไม่ควรมีการสาธิตหรืออนุญาตให้มีการสาธิตการใช้นมดัดแปลงสำหรับทารกและอาหารทารก โดยบริษัท ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย ในสถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข
- ไม่ควรรับบริจาคหรือรับการสนับสนุนใดๆ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ภายใต้หลักเกณฑ์นี้ รวมทั้งการใช้เครื่องมือสิ่งของอื่นๆที่ใส่ชื่อเครื่องหมายบริษัทหรือสื่อใดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นี้หรือบริษัทผู้ผลิตที่สื่อความหมายถึงผลิตภัณฑ์ภายใต้หลักเกณฑ์นี้
- บุคลากรทาง การแพทย์และสาธารณสุข ควรปกป้องส่งเสริมสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และไม่ควรเป็นตัวแทนของผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายอาหารทดแทนนมแม่และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
- เมื่อวันที่ 27-28 กันยายน พ.ศ.2557 สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ได้จัดประชุมเครือข่ายสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และการรับโภชนาการอย่างสมวัย เพื่อจัดตั้งเครือข่ายนมแม่ (TABFA) ในการขับเคลื่อนต่อไปการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” และให้เสนอต่อ ครม.
- เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2557 สช. ได้จัดให้มีการประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อติดตามการดำเนินงานตามมติ 3.3 การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ. การตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก
- เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการกำกับดูแลและควบคุมการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก
- เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 ในการเสวนาเรื่อง” เดินหน้าอย่างไรให้ถูกทาง นานาทรรศนะว่าด้วย พ.ร.บ.คุ้มครองการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก” ดร.สมเดช รุ่งศรีสวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ให้การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน แต่การควบคุมโฆษณานมผงไม่ควรปิดกั้น ต้องมีการให้ข้อมูลเพื่อให้คุณแม่ทั้งหลายใช้ประกอบการตัดสินใจ จึงมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐฟังเสียงให้รอบด้านทั้งนักวิชาการและบรรดาคุณแม่ด้วย นอกจากนี้ในที่ประชุมยังมีข้อเสนอแนะให้คุณแม่ทั้งหลายควรมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับนมผง อาหารเสริมจากบุคลากรทางการแพทย์และอื่นๆ
- เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 กรมอนามัยได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 27 องค์กร แลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อนำไปประกอบร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ..... พร้อมการปรับปรุงแก้ไขบางประเด็นเพื่อประโยชน์ต่อพ่อแม่ และเด็กมากที่สุดก่อนที่จะนำร่างฯ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบในปี 2557 นี้
- เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับผู้แทนจากสมาพันธ์เครือข่ายนมแม่แห่งประเทศไทย ประกอบด้วยตัวแทนแม่ นักวิชาการ และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อแสดงความขอบคุณที่กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันร่างพ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. ... ว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญต่อกฎหมายฉบับนี้ และจะผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนต่อไป ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งกรมอนามัยได้จัดขึ้นในวันนี้ มีภาคีเครือข่ายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ตัวแทนจากบริษัทผู้ประกอบการ กุมารแพทย์ สมาคมโภชนาการ เครือข่ายนมแม่ แม่ที่ให้นมบุตร ร่วมแสดงความคิดเห็นในแต่ละมุมมอง เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างรอบด้าน นำไปประกอบการพิจารณา ปรับปรุงแก้ไข ร่างพ.ร.บ. ดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเด็กไทย หลังจากนั้นจะเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามเห็นชอบเพื่อเสนอที่ประชุมครม. คณะกรรมการกฤษฎีกา และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามกระบวนการจัดทำกฎหมายต่อไป และได้มอบหมายให้กรมอนามัย จัดทำแนวทางสนับสนุนให้หน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุขจัดมุมนมแม่ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ให้บุคลากรเจ้าหน้าที่ในสังกัดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นต้นแบบแก่หน่วยงานอื่นๆ ต่อไป และให้ติดตามสนับสนุนให้เกิดมุมนมแม่ในสถานประกอบการอื่นๆ ทั่วประเทศด้วย
- เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 นายแพทย์ดนัย ธีวันดา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการดำเนินงานของกรมอนามัย ขณะนี้ โรงพยาบาลทุกแห่งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้งคลินิกนมแม่ และไม่มีการขายผลิตภัณฑ์นมผงในโรงพยาบาล รวมทั้งได้อบรมพยาบาลเป็นมิสนมแม่ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนให้หญิงหลังคลอดให้นมบุตรภายใน 2 ชั่วโมงหลังคลอด และให้คำปรึกษาในรายที่มีปัญหา เช่นมีน้ำนมน้อย หัวนมบอด เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย และสสส. ส่งเสริมให้สถานประกอบการขนาดใหญ่จัดมุมนมแม่ ขณะนี้ดำเนินการได้ประมาณร้อยละ 20-30 โดยหญิงหลังคลอดบุตรของไทยที่มีข้อจำกัดในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เช่นติดเชื้อเอชไอวี เด็กแพ้โปรตีนในน้ำนมแม่ มีจำนวนน้อยมาก ไม่ถึงร้อยละ 1 ที่เหลือกว่าร้อยละ 99 สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้
- เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2558 นพ.ประพัฒน์ โสภณาทรณ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ได้เรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขมีการทบทวนการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ในการนำเข้าสู่การพิจารณาคณะรัฐมนตรี
- วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ความคืบหน้าการผลักดัน ร่างพ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารก และเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ…. กรมอนามัยรับฟังความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ทั้งประชาชน ภาคเอกชน และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง และได้ส่งร่างพ.ร.บ.ให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสธ. ก่อนเสนอให้ รมว.สธ.นำเข้าครม. และดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการนิติบัญญัติ
- วันที่ 17 มีนาคม 2558 นายแพทย์ประพัฒน์ โสภณาทรณ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เปิดเผยถึงกรณีที่กลุ่มอุตสาหกรรม ผู้ผลิตอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พร้อมทั้งกลุ่มแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านแม่และเด็ก ออกมา แสดงความคิดเห็นคัดค้านร่างพ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องว่า “ประเด็นใหญ่ที่ ผู้คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่เห็นด้วยคือ ร่างฯ นี้ ให้อำนาจแก่ สธ. มากเกินไป ในการบังคับใช้กฎหมาย โดยภาพรวมร่าง พ.ร.บ. มีขอบเขตเนื้อหาที่กว้างเกินไป และให้อำนาจดุลพินิจแก่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเอ็นจีโออยู่มากอีกทั้งยังมีการกีดกัน ผู้ได้รับผลกระทบออกจากกระบวนการจัดทำร่างกฎหมายด้วย ซึ่งที่ประชุมซึ่งประกอบด้วยแพทย์และ ผู้เชี่ยวชาญด้านแม่และเด็กหลายท่าน ยังได้มีข้อกังวลหลายสิ่งที่จะกระทบกับหลายส่วนด้วยกันเช่นการกำหนดขอบเขตของกฎหมายที่กว้างเกินไป การกำหนดเงื่อนไขในการห้ามนำเสนอข้อมูลแก่แพทย์ให้ความรู้ความเข้าใจแก่มารดา รวมการห้ามกล่าวถึง หรือห้ามโฆษณา ฯลฯ ซึ่งอาจมีผลทำให้กลุ่มคนที่จำเป็นต้องใช้นมผสมเลี้ยงลูก สูญเสียโอกาสได้รับข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วน และอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดจากการขาดความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพการเลี้ยงดูลูกของตนเอง และที่แย่กว่านั้นคือในกลุ่มผู้ด้อยโอกาสบางกลุ่ม เมื่อไม่มีความที่ถูกต้อง ก็อาจจะหลงผิด หันไปพึ่งสินค้าจำพวกนมข้น หรือผลิตภัณฑ์ที่ด้อยคุณภาพ ราคาถูก หรือเชื่อตามคำยุยง ร่ำลือ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กที่บริโภค ผลิตภัณฑ์นั้นๆ
- วันที่ 24 เมษายน 2558 จากเอกสารแถลงผลการดำเนินงานโดย สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานว่า เรื่องการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ.... กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำ Fact Sheet เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน หน่วยงานระหว่างประเทศ องค์การอิสระ (NGO) เข้าใจในร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว นอกจากนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 มี ผู้เข้าร่วมรับฟังแสดงความคิดเห็น จำนวน ทั้งหมด 569 คน ประกอบด้วยผู้แทนสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง องค์กรวิชาชีพทางด้านการแพทย์ ด้านการศึกษา องค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง องค์กรอิสระและเครือข่ายภาคประชาสังคม ผลการประเมินความพึงพอใจต่อ พ.ร.บ. ฉบับนี้ พบว่า ผู้ร่วมประชาพิจารณ์ส่วนใหญ่พึงพอใจต่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ในระดับดีและดีมาก ร้อยละ 87.4 มีเพียงร้อยละ 2.7 ยังไม่พึงพอใจ มีข้อเสนอซึ่งควรปรับปรุงในหมวด 3 มาตรา 3, มาตรา 17 (4) (8) และหมวด 8 มาตรา 35 ซึ่งได้ปรับแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ในหมวดและมาตราตามข้อเสนอแนะตามที่ได้ทำประชาพิจารณ์ จากนั้นได้เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ประชุมองค์กรวิชาชีพทางด้านการแพทย์อีกครั้ง เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. โดยกำหนดจัดประชุมในวันที่ 23 มีนาคม 2558 และได้ปรับแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวตามมติที่ประชุมองค์กรวิชาชีพด้านการแพทย์แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอรัฐมนตรีลงนามเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ปัจจุบันมีทารกแรกเกิดจนถึงอายุต่ำกว่า 6 เดือน มีค่าเฉลี่ยกินนมแม่อย่างเดียวร้อยละ 70.28 จากเป้าหมายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50
- เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2558 ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันแม่แห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญการพัฒนาสุขภาพแม่และเด็ก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการพัฒนาคนไทยให้มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ปีนี้เน้นหนัก 2 เรื่อง คือ 1.โครงการฝากครรภ์ได้ทุกที่ ฟรีทุกสิทธิ์ รณรงค์ให้หญิงตั้งครรภ์ที่มีปีละประมาณ 8 แสนคน ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่อยู่ใกล้ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์หรือก่อนอายุครรภ์ 3 เดือน ยิ่งเร็วยิ่งดี เด็กจะได้รับการดูแลครบถ้วนทั้งสารอาหารที่จำเป็น ไม่เป็นโรคกรรมพันธุ์ เช่น ธาลัสซีมีย และฝากครบ 5 ครั้งตามนัด ล่าสุดในปีนี้ มีหญิงฝากครรภ์อายุครรภ์ก่อน 3 เดือนร้อยละ 60 จะรณรงค์ให้ได้สูงกว่าร้อยละ 80 เรื่องที่ 2.การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน ไม่ต้องให้น้ำหรืออาหารอื่น หลังจากนั้นจึงให้กินนมแม่ร่วมกับอาหารอื่นจนถึง 2 ปี ตามคำแนะนำองค์การอนามัยโลก ในปีนี้ตั้งเป้าให้ได้ร้อยละ 30 ขณะนี้นักวิชาการอยู่ระหว่างการศึกษาว่าน้ำที่เด็กกินเข้าไป มีผลให้เด็กได้สารอาหารจากนมแม่น้อยลงหรือไม่ นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการโฆษณาของบริษัทผลิตภัณฑ์นมผง อวดอ้างสรรพคุณว่ามีสารช่วยให้เด็กฉลาด แข็งแรง ทำให้แม่เข้าใจผิด พลาดโอกาสทองเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วง 2 ปีแรกเป็นช่วงที่สมองกำลังพัฒนาสูงสุด จึงเร่งผลักดันกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนสิงหาคมนี้
- กระทรวงสาธารณสุข มีการดำเนินงานดังนี้
- กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย ร่วมกับ กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย UNICEF และองค์การอนามัยโลก จัดทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อจัดตั้งมุมนมแม่ในสถานประกอบการให้เป็นรูปธรรม โดยมีความเหมาะสมตามบริบทของพื้นที่ มีเป้าหมายอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง วิธีการดำเนินงาน ประสานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จัดหาและคัดเลือกสถานประกอบการที่มีมุมนมแม่ รวมทั้งสนับสนุนให้ความรู้แก่ผู้รับผิดชอบทุกฝ่าย โดยสำนักส่งเสริมสุขภาพได้ส่งเสริมด้านวิชาการ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบการ และร่วมกับหน่วยงานข้างต้นจัดทำคู่มือการดำเนินงานขึ้น เพื่อให้ผู้รับผิดชอบมุมนมแม่ในสถานประกอบการดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตลอดจนเผยแพร่นโยบายและข้อมูลข่าวสารเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายโครงการนมแม่ลงสู่ระดับตำบล ปี 2554 โดยจัดทำโครงการตำบลนมแม่เพื่อสายใยรักแห่งครอบครัว เพื่อให้ท้องถิ่น ชุมชน ประชาชน มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ติดต่อกันนาน 6 เดือน เพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กไทย โดยนำร่องใน 5 ภาคๆ ละ 1 จังหวัดๆ ละ 1 ตำบล โดยภาคเหนือที่ ต.ริมปิง จ.ลำพูน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต.เกาะเอ้ จ.อุบลราชธานี ภาคใต้ที่ ต.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ภาคตะวันออกที่ ต.บ้านค่าย จ.ระยอง ภาคกลางดำเนินการที่ ต.สวนกล้วย อ.สวนกล้วย จ.ราชบุรี เพื่อเป็นตำบลต้นแบบของประเทศ ทั้งนี้ได้ให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นศูนย์เรียนรู้ ด้วยการใช้แผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์โดยแกนนำชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำระบบเฝ้าระวัง แผนงานโครงการ และมาตรการทางสังคมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และให้ อบต.เป็นศูนย์ประสานการดำเนินงานและประชาสัมพันธ์ผ่านทางวิทยุชุมชน
- เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป โดยมีสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังนี้
1. กำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง ผู้แทนองค์กรเอกชน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด
2. กำหนดห้ามมิให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายซึ่งนมดัดแปลง นมดัดแปลงสูตรต่อเนื่อง และนมสูตรต่อเนื่อง สำหรับทารกหรือเด็ก ทำการโฆษณา จำหน่าย แจกตัวอย่าง บริจาคให้ ฯลฯ ซึ่งนมตามที่กำหนด
3. กำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายซึ่งนมดัดแปลง นมดัดแปลงสูตรต่อเนื่อง และนมสูตรต่อเนื่อง สำหรับทารกหรือเด็ก ต้องให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์แก่กลุ่มบุคคลที่กำหนดตามความเป็นจริง และห้ามมิให้ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ปิดบัง อำพราง เป็นต้น
4. กำหนดหลักเกณฑ์การแสดงฉลากอาหารสำหรับทารกและเด็กรวมทั้งต้องแสดงข้อความตามที่กำหนด
5. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตหรือนำเข้าอาหารเพื่อจำหน่าย
6. กำหนดให้หน่วยบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง มีหน้าที่ตามที่กำหนด ตลอดจนกำหนดห้ามมิให้บุคลากรดังกล่าวกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่กำหนด
- เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2559 ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงผลจากการทำทีมประเทศไทยเข้าร่วมประชุมสมัชชาอนามัยโลก ครั้งที่ 69 ณ อาคารองค์การสหประชาชาติ กรุงเจนีวา สมาพันธ์รัฐสวิตเซอร์แลนด์ หัวข้อหนึ่งในการประชุมคือ โภชนาการมารดา ทารก และเด็กเล็ก ซึ่งเนื้อหาแนวทางการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก ขององค์การอนามัยโลก แนะนำให้ประเทศออกกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดที่ไม่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์นมผสม อาหารเสริมสำหรับทารกและเด็กเล็กรวมถึงเครื่องดื่มจนถึง 3 ปี โดยครอบคลุมตั้งแต่การโฆษณา การลดแลกแจกแถม การประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมโดยตัวแทนบริษัท และการส่งเสริมการตลาดผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ ข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลกนี้เป็นการตอกย้ำว่า ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ...... ที่กระทรวงสาธารณสุขผลักดันอยู่เพื่อคุ้มครองเด็กไทยให้มีโอกาสได้กินนมโดยไม่ถูกแทรกแซงจากการส่งเสริมการตลาดของบริษัทนมผสมนั้น มีเนื้อหาสอดคล้องตามมาตรฐานสากล
- เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559 นพ.วขิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และวันแม่แห่งชาติปี 2559 กรมอนามัยขอประกาศเป็นองค์กรต้นแบบส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และขณะนี้กรมฯ อยู่ระหว่างการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.... เพื่อควบคุมผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่าย ทำการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กอย่างเหมาะสม ไม่มีการโฆษณา ซึ่งขณะนี้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว เมื่อร่างผ่านผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 3 แสนบาท ส่วนบุคลากรทางการแพทย์จะมีโทษสูงสุดถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต
- กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและการสั่งการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 – 30 เมษายน 2560 ได้ดำเนินการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ซึ่งขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560
- กระทรวงแรงงานได้รายงานสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 – 31 พฤษภาคม 2560 เรื่องการพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคม ได้มีการดำเนินงานส่งเสริมและพัฒนาแรงงานตลอดช่วงชีวิตโดยดำเนินการศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัยในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดนครปฐมและสมุทรปราการ เพื่อจัดสวัสดิการแรงงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน โดยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูบุตรของผู้ใช้แรงงานให้แรงงานสามารถทำงานได้เต็มที่ ไม่มีความกังวลใจและห่วงใยบุตรหลาน เป็นต้นแบบการจัดสวัสดิการแรงงานเพื่อครอบครัวของลูกจ้างที่นายจ้างนำไปจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการ ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ปัจจุบันมีเด็กเล็กที่อยู่ในความดูแลของศูนย์ฯ จำนวน 1,585 คน และดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาการจัดตั้งมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการอย่างยั่งยืน โดยการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และการจัดสวัสดิการมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการผ่านสื่อต่างๆ เช่น แผ่นพับ คู่มือ วิทยุกระจายเสียงในพื้นที่ หรือสิ่งอื่นๆ ให้นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้เกี่ยวข้องทราบ เพื่อให้แรงงานหญิงได้มีโอกาสเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสายใยรักแห่งครอบครัวของลูกจ้าง มีสถานประกอบกิจการได้รับการส่งเสริมการจัดตั้งมุมนมแม่จำนวน 235 แห่ง
- กรมอนามัย มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ประเทศไทย (UNICEF) และแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. .ให้เป็นกฎหมาย ในขั้นแรก จะจัดทำหนังสือคู่มือถามตอบประเด็นสำคัญที่ว่า ทำไมประเทศไทยจะต้องมีการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เพื่อสื่อสารให้คนไทยทราบถึงการพิทักษ์สิทธิเด็ก การคุ้มครองให้ได้รับอาหารที่เหมาะสม
- วันที่ 9 สิงหาคม 2554 เครือข่ายนักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการสำหรับเด็กประกอบด้วย โครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 30 คน เสนอนโยบายด้านอาหารและโภชนาการสำหรับเด็กต่อรัฐบาลใน 4 ประเด็น คือ 1.ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 2.สนับสนุนคุณภาพอาหารกลางวันเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย 3.การตลาดอาหารในสถานศึกษา และ4.สนับสนุนให้เกิดการบริโภคอาหารปลอดภัย สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบาย คือ 1. ผลักดัน พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กหรือควบคุมการตลาดของนมผง 2. ผลักดันให้ออกกฎหมายควบคุมการตลาดอาหารในสถาบันการศึกษา เพื่อจำกัดการจำหน่ายขนมและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลในโรงเรียน 3. ผลักดันให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชใหม่ ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย 2551 และ 4. การแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2535 โดยปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการกองทุน และแก้ไขกฎระเบียบการนำเงินกองทุนมาสนับสนุนให้เด็กไทยทุกคนได้รับอาหารกลางวันที่เพียงพอและมีคุณภาพ ที่สำคัญจะต้องทบทวนมติ ครม.วันที่ 13 พ.ค. 2552 เพื่อเพิ่มงบค่าอาหารกลางวันจากเดิมคนละ 13 บาทต่อวัน เป็น 15 บาทต่อวัน ทั้งนี้จะมีการยื่นข้อเสนอต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ต่อไป
- กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับมูลนิธินมแม่แห่งประเทศไทย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร องค์การยูนิเซฟประเทศไทย และองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ให้การสนับสนุนและเชิญชวนให้สถานประกอบการเอกชนทุกแห่งในประเทศจัดสวัสดิการให้ผู้ใช้แรงงานผู้หญิงที่อยู่ในช่วงหลังคลอด ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ติดต่อกัน โดยจัดมุมนมแม่สานสายใยรักแห่งครอบครัว เพื่อให้แม่มีเวลาบีบน้ำนมให้ลูกและมีที่เก็บนมแม่ ส่งเสริมให้เด็กทารกกินนมแม่ติดต่อกัน 6 เดือน ขณะนี้มีบริษัทเอกชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 701 แห่ง
- เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 นพ.ดนัย ธีวันดา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้า พ.ร.บ.การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรูปแบบการละเมิดหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ หรือ CODE ว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์ โดยหลังทำประชาพิจารณ์ก็จะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม สธ. ก่อนจะเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง คาดว่าภายในปี 2557 จะสามารถเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้า ครม.ได้ นอกจากนี้ สธ.ยังตั้งเป้าว่าจะส่งเสริมให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรก ให้ได้ร้อยละ 60 ภายในปี 2558 หรือให้ทารกกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนแรกให้ได้ 4.8 แสนคน รวมถึงส่งเสริมให้มารดาให้นมแก่ลูกหลังอายุ 6 เดือน พร้อมอาหารตามวัยเป็นระยะเวลา 2 ปี ทั้งนี้ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้เรียกร้องให้เร่งผลักดัน ร่างพ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก ประกาศให้มีผลบังคับใช้เร็วที่สุด
- เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2557 มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยร่วมกับตำบลนมแม่ เทศบาลตำบลท่าม่วง ประชาชน จัดกิจกรรมประกาศ “สัญญาประชาคม” ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันรณรงค์ ส่งเสริม สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้มากที่สุด พร้อมทั้งประกาศความร่วมมือระหว่างองค์กรภาคีเครือข่ายและภาคประชาสังคมผลักดัน “พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (CODE)” ทั้งนี้ในเวทีสัญญาประชาคม CODE ของชาวท่าม่วงมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะบอกให้ทราบว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์และมีคุณค่ากับตัวแม่และเด็กมากกว่า และเป็นการประกาศเจตนารมณ์ว่าด้วยชาวท่าม่วงจะร่วมกันรณรงค์ส่งเสริมและการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้มากที่สุด
- เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2558 องค์กรจากหลายภาคส่วนรวม 39 องค์กร ทั้งหน่วยงานรัฐ ภาคประชาสังคมและภาควิชาการ จึงตัดสินใจรวมตัวในชื่อ สมาพันธ์เครือข่ายนมแม่แห่งประเทศไทยหรือในชื่อย่อว่า “เครือข่ายท้าบฟ้า” (TABFA- Thai Alliance for Breastfeeding Action) โดยมีวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า เด็กไทยทุกคนต้องได้กินนมแม่และได้รับอาหารที่เหมาะสมตามวัย โดยประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ณ โรงแรมเดอะสุโกศล กรุงเทพฯ โดยมีสาระสำคัญ: หากการมีโอกาสได้ศึกษาและติดตามกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดและโฆษณานมผงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ได้มีการทุ่มทุนมหาศาล เพื่อสร้างมายาคติที่บิดเบือนข้อเท็จจริงมากมายหลายประเด็นด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ละเมิดหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยเรื่องการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ ที่ประกาศโดย สมัชชาสุขภาพโลก (World Health Assembly) ตั้งแต่ปี 2524 เช่น การแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์และของขวัญฟรีให้แก่แม่ การติดต่อทำการตลาดกับแม่โดยตรง ทั้งในศูนย์การค้า โรงพยาบาล การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ฯลฯ การใช้สถานบริการสาธารณสุขเป็นที่ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ เช่น การจัดแสดงสินค้าเพื่อจำหน่ายในคลินิก รวมถึงการแจกคูปองเป็นส่วนลดราคานมผงและจัดส่งนมผงถึงบ้าน เป็นต้น อีกทั้ง “กติกา” ที่สำคัญในการกำกับดูแลการส่งเสริมการตลาดและการโฆษณานมผงให้เป็นไปอย่างเหมาะสมตามหลักสากล ซึ่งต้องช่วยกันเร่งผลักดันก็คือ ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องพ.ศ. … ที่ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดทำและได้ผ่านการรับรองจากที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2553 และคณะรัฐมนตรีได้รับรองมติดังกล่าวในปี 2554 อย่างไรก็ตาม ด้วยความเย้ายวนของผลประโยชน์อันมหาศาลที่อยู่เบื้องหลังตลาดนมผงเลี้ยงทารก ที่หากทำให้คนไทย “ลืมนมแม่” ไปได้สนิทใจ ก็จะมีจำนวนผู้บริโภคขั้นต้นเท่ากับทารกที่เกิดใหม่ในประเทศไทยแต่ละปี คือ 8 แสนคน คูณด้วยเม็ดเงินค่านมผงที่ว่ากันว่ามีตัวเลขขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นบาทต่อครอบครัวต่อปี หรือเท่ากับเกือบ 5 หมื่นล้านบาทต่อปี จะทำให้ร่างกฎหมายนี้ “แท้ง” ไปได้ง่ายๆ ทั้งที่เนื้อหาสาระในร่างกฎหมายไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่าสิ่งที่รองอธิบดีกรมอนามัยยืนยัน นั่นคือเป็นเพียงแต่ควบคุมวิธีการส่งเสริมการตลาดให้เป็นไปตามหลักสากล ซึ่งประเทศต่างๆ นำมาพัฒนาเป็นกฎหมายมานานถึง 30 ปีแล้ว ทั้งนี้ คาดว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงมีนาคมนี้ น่าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ชี้ชะตาร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะกำลังจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะรัฐมนตรีตามลำดับ
- เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 180 วัน ซึ่งเป็นการกำหนดรายละเอียดบางอย่างให้มีความชัดเจน เช่น การบริจาคของผู้ประกอบการนมผงลักษณะใดทำได้หรือทำไม่ได้ การจะให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคโดยตรงต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เป็นต้น โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการธุรกิจนมผงจำนวนมากใช้กลยุทธ์การโฆษณาและการตลาดที่ละเมิดประกาศสาธารณสุข ที่ออกตามหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast milk Substitutes) ของสมัชชาอนามัยโลก ส่งผลให้แม่เข้าใจผิดว่านมผงดีเท่านมแม่ และการบริโภคนมแม่ไม่เพียงพอ ต้องมีนมผงด้วย และต่อมาในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 พ.ศ.2553 ได้มีฉันทมติ เรื่อง “การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” หลายภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนมติ จนเป็นพลังหนุนให้กรมอนามัยยกร่างกฎหมายเพื่อควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านการรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกมาเป็น พ.ร.บ.การควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 หรือ พ.ร.บ.นมผง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน คือ วันที่ 9 กันยายน 2560 นี้ กฎหมายนี้จะมีผลให้แนวทางการส่งเสริมการตลาดที่บริษัทนมผงเคยดำเนินการอยู่เดิมไม่สามารถดำเนินการได้อีก เช่น การติดต่อกับมารดาที่ตั้งครรภ์โดยตรง การแจกนมผงที่โรงพยาบาลให้มารดานำกลับไปเลี้ยงลูกที่บ้าน หรือการให้ข้อมูลที่เกินความเป็นจริงต่างๆ เป็นต้น โดยกรมอนามัยได้ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลเอกชนและสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านส่งเสริมสุขภาพและคุ้มครองผู้บริโภค ต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ อบรมให้ความรู้ที่ตรงกัน รวมทั้งมีมาตรการเฝ้าระวังเพื่อบังคับใช้กฎหมายด้วย
- เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2560 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัด เวที สช.เจาะประเด็น ครั้งที่ 3/2560 “หยุด!! โฆษณา ฆ่าน้ำนมแม่” ที่ชั้น 6 อาคารสุขภาพแห่งชาติ สื่อสารผลสำเร็จจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติสู่การปฏิบัติ หนุนการใช้กฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก กรมอนามัยกำลังเร่งออกประกาศรองรับการดำเนินการตาม พ.ร.บ. นี้ภายใน 180 วัน ซึ่งเป็นการกำหนดรายละเอียดบางอย่างให้มีความชัดเจน เช่น การบริจาคของผู้ประกอบการนมผงลักษณะใดทำได้หรือทำไม่ได้ การจะให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคโดยตรงต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก เป็นต้น โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการธุรกิจนมผงจำนวนมากใช้กลยุทธ์การโฆษณาและการตลาดที่ละเมิดประกาศสาธารณสุข ที่ออกตามหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast milk Substitutes) ของสมัชชาอนามัยโลก ส่งผลให้แม่เข้าใจผิดว่านมผงดีเท่านมแม่ และการบริโภคนมแม่ไม่เพียงพอ ต้องมีนมผงด้วย และต่อมาในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 พ.ศ.2553 ได้มีฉันทมติ เรื่อง “การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” หลายภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนมติ จนเป็นพลังหนุนให้กรมอนามัยยกร่างกฎหมายเพื่อควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยผ่านการรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกมาเป็น พ.ร.บ.การควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.2560 หรือ พ.ร.บ.นมผง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน คือ วันที่ 9 กันยายน 2560 นี้ กฎหมายนี้จะมีผลให้แนวทางการส่งเสริมการตลาดที่บริษัทนมผงเคยดำเนินการอยู่เดิมไม่สามารถดำเนินการได้อีก เช่น การติดต่อกับมารดาที่ตั้งครรภ์โดยตรง การแจกนมผงที่โรงพยาบาลให้มารดานำกลับไปเลี้ยงลูกที่บ้าน หรือการให้ข้อมูลที่เกินความเป็นจริงต่างๆ เป็นต้น โดยกรมอนามัยได้ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลเอกชนและสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านส่งเสริมสุขภาพและคุ้มครองผู้บริโภค ต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งมีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ อบรมให้ความรู้ที่ตรงกัน รวมทั้งมีมาตรการเฝ้าระวังเพื่อบังคับใช้กฎหมายด้วย
- ได้จัดทำรายงานความก้าวหน้าต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 แล้ว