- เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2559 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทยตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
- เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ. 2560 – 2564 เป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติ
- มอบหมายให้ สธ.ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ. 2560 – 2564
- มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง รับไปดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสำคัญของแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ. 2560 -2564 เป็นแผนยุทธศาสตร์ฉบับแรกของไทยที่เน้นการแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ ซึ่งจะเป็นกรอบการทำงานให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ และเป็นการแสดงความมุ่งมั่นของไทยในการร่วมแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาในระดับโลก และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ (High Level Meeting on Antimicrobial Resistance) ภายใต้การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ (United Nations General Assembly : UNGA) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 กันยายน 2559 นี้ โดยแผนยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพภายใต้แนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว ยุทธศาสตร์ที่ 2 การควบคุมการกระจายยาต้านจุลชีพในภาพรวมของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในสถานพยาบาลและควบคุมกำกับดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม ยุทธศาสตร์ที่ 4 การป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยาและควบคุมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมในภาคการเกษตรและสัตว์เลี้ยง ยุทธศาสตร์ที่ 5 การส่งเสริมความรู้ด้านเชื้อดื้อยา และความตระหนักด้านการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมแก่ประชาชน และยุทธศาสตร์ที่ 6 การบริหารและพัฒนากลไกระดับนโยบายเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างยั่งยืน
- เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2559 แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ. 2560 -2564 ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 นั้น กระทรวงสาธารณสุขได้มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มีเป้าหมายลดการป่วยจากเชื้อดื้อยาร้อยละ 50 ลดการใช้ยาต้านจุลชีพในคนและในสัตว์ลงร้อยละ 20 และ 30 และประชาชนมีความตระหนักรู้เพิ่มมากขึ้นร้อยละ 20 ภายใน 5 ปี
2.1 บูรณาการการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ การจัดการแบคทีเรียดื้อยาของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
2.2 จัดให้มีศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อใช้ในการจัดการปัญหาวิกฤติการณ์แบคทีเรียดื้อยาทั้งในระดับประเทศและจังหวัด โดยทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลเพื่อสื่อสารกับผู้กำหนดนโยบาย ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งใช้และจ่ายยาต้านแบคทีเรีย รวมถึงประชาสังคมและประชาชนทั่วไป
2.3 สนับสนุนการดำเนินการตามแผนฯ ติดตามความก้าวหน้า และประเมินผล รวมทั้งสื่อสารการดำเนินการตามแผนฯ อย่างเป็นรูปธรรมร่วมกัน
- วันที่ 22 เมษายน 2559 นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการฯ อย. ได้เป็นประธานเปิดงานประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศไทย พ.ศ.2559-2561 ณ โรงแรมิราเคิลแกรนด์ พร้อมกันนี้ ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการฯ อย. เป็นประธานเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศไทย พ.ศ.2559-2561 ซึ่งจัดโดย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับ อย.
- วันที่ 22 เมษายน 2559 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีรับฟังความเห็นต่อร่าง “แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศไทย พ.ศ.๒๕๕๙-๒๕๖๑” โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง สช. กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร
ระบบการจัดการปัญหาเชื้อดื้อยาของประเทศไทย จึงต้องปรับตัวในเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงานมากขึ้นด้วย ร่าง “แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพของประเทศไทย พ.ศ.๒๕๕๙-๒๕๖๑” ฉบับนี้ ได้ผ่านกระบวนการทำงาน ทั้งจากระดับ บนลงล่าง คือในส่วนของหน่วยงานที่กำกับดูแลและขับเคลื่อนนโยบาย และจากระดับ ล่างขึ้นบน คือพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ผ่านกลไก สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ โดยคาดว่า จะนำไปสู่การนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ เพื่อกำหนดให้การแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นวาระแห่งชาติ และสามารถปฏิบัติการขับเคลื่อนโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยราชการ สถานพยาบาล ร้านขายยา ชุมชน และประชาชน ฯลฯ
ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย 6 ด้าน คือ 1.การเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) ทางห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาล และทางระบาดวิทยาในโรงพยาบาล ชุมชน และสิ่งแวดล้อม 2.การควบคุมการกระจายยาต้านจุลชีพในภาพรวมของประเทศ 3.การป้องกัน ควบคุม AMR และการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมในสถานพยาบาล 4.การป้องกันและควบคุม AMR การใช้ยาต้านจุลชีพในการเกษตรและสัตว์เลี้ยง และการทำความเข้าใจกับเกษตรกร 5.การสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน 6.การพัฒนาโครงสร้างและกลไกของการทำงานเชิงบูรณาการ การติดตามประเมินผล และประสานความร่วมมือภายในประเทศและต่างประเทศในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ฯ นี้ เน้นการนำสู่การปฏิบัติ (action-oriented) เมื่อยุทธศาสตร์ฯ นี้ผ่าน ครม. แล้ว ก็จะมีคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ให้มีความยั่งยืนต่อไป - เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสม ส่วนยุทธศาสตร์การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลได้สั่งการให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ทุกระดับ เร่งรัดดำเนินการเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โดยตั้งเป้าระหว่างปี 2560-2564 จะลดปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะลงร้อยละ 20 ลดการเจ็บป่วยจากเชื้อดื้อยาร้อยละ 50 ส่วนสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมบัญชีกลาง และกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย ที่จะพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานดังนี้ 1) ระดับต้นน้ำ โดยจัดระบบการควบคุมกำกับการผลิต/การนำเข้าและการกระจายยาที่มีคุณภาพ รวมถึงการจัดการยาที่มีคุณภาพในโรงพยาบาล โดยการกำกับดูแลของคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด 2) ระดับกลางน้ำ โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่งเป็นโรงพยาบาลที่ส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล มีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบ มีการจัดการเชื้อดื้อยา การส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรมากขึ้น และ 3) ระดับปลายน้ำ โดยการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ป่วยและประชาชนในเรื่องการใช้ยาที่เหมาะสม
- กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและการสั่งการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 – 30 เมษายน 2560 โครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU) และการจัดการการดื้อยาด้านจุลชีพ (AMR) ในสถานบริการ ปีงบประมาณ พ.ศ.2560
1) ประชุมถ่ายทอดนโยบายและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ RDU
2) ประชุมการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) โรงพยาบาลต้นแบบ 24 แห่งจาก 12 เขตสุขภาพ
3) ประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาวิชาการ RDU สำหรับครูในเครือข่ายบริการปฐมภูมิ
4) โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปที่ดำเนินการและผ่าน RDU ขั้นที่ 1 จำนวน 718 แห่งจากโรงพยาบาลเป้าหมาย 896 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 80
- เมื่อวันที่ 5-9 ธันวาคม 2559 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้าร่วมประชุมสภามนตรี องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) การดำเนินการของประเทศไทยในเรื่องเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) ด้วยประเทศไทยตระหนักถึงภัยคุกคามของ AMR ต่อความมั่นคงอาหารและสุขภาพของมนุษย์ ทั้งนี้ได้พัฒนายุทธศาสตร์เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ปัญหาเรื่อง AMR โดยยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ ฉบับแรกของประเทศไทยได้ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ.2560-2564 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขอไทยในการร่วมมือแก้ปัญหา AMR ระดับนานาชาติ
- เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2559 “วิกฤติการณ์เชื้อแบคทีเรียดื้อยาและการจัดการปัญหาแบบบูรณาการ” ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับโลก ที่ขยายวงมาถึงประเทศไทยแล้ว โดยในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 8 ต้องการให้มีการจัดการปัญหาอย่างบูรณาการ มีกลไกหลักคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจะประสาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันผลักดันประเด็น วิกฤติการณ์เชื้อดื้อยาฯ ให้เป็นวาระแห่งชาติ และจัดทำแผนยุทธศาสตร์ปี 2559-2561 โดยต้องเปิดรับฟังความคิดเห็น ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
9.1 หน่วยงานรัฐที่มีสถานพยาบาลในกำกับและกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานควบคุมกำกับสถานพยาบาลเอกชน ร่วมกับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
9.2 หน่วยงานรัฐที่มีสถานพยาบาลสัตว์ในกำกับและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานควบคุมกำกับสถานพยาบาลสัตว์เอกชน พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
9.3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับวงจรการผลิตภาคปศุสัตว์ ประมง และเกษตร จัดให้มีระบบการรับรองกระบวนการผลิต พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
10.1 พัฒนาแนวทางปฏิบัติในการใช้ยาต้านแบคทีเรียในระดับต่าง ๆ ตลอดจนแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยและรักษาโรคติดเชื้อ และเผยแพร่แนวทางปฏิบัติผ่านช่องทางที่หลากหลายไปสู่กลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง รวมถึงสนับสนุนให้บุคลากรด้านสาธารณสุขปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติ
10.2 สร้างความตระหนักในหมู่บุคลากรด้านสุขภาพ ถึงความสำคัญของการเลือกใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างสมเหตุผล และผลกระทบจากการใช้ยาต้านแบคทีเรียเกินความจำเป็น
10.3 เพิ่มและพัฒนาศักยภาพของกำลังคนด้านสุขภาพทุกสาขา[1] ที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจกำลังคนด้านสุขภาพในการทำงานด้านการควบคุมโรคติดเชื้อ
10.4 สนับสนุนข้อมูลเชิงวิชาการและหลักฐานเชิงประจักษ์แก่บุคลากรสุขภาพและประชาชนเพื่อให้เกิดการใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างสมเหตุผล
10.5 สนับสนุนให้มีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพทุกสาขาเพื่อมุ่งเน้นให้บัณฑิตมีความตระหนักรู้ถึงปัญหาเชื้อดื้อยา มีเจตคติที่จะใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างรับผิดชอบ และมีสมรรถนะในการใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างสมเหตุผล
[1] กำลังคนด้านสุขภาพ หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มคนที่มีบทบาทด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การรักษาพยาบาล การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสมรรถภาพ ซึ่งรวมถึงบุคลากรด้านสาธารณสุข ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข บุคลากรสายสนับสนุน บุคคลากรทางการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือก อาสาสมัครด้านสุขภาพต่างๆ แกนนำและเครือข่ายสุขภาพ ตลอดจนบุคคลต่างๆที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ